สรรพคุณ“กล้วย”ที่คนไม่ค่อยรู้! ดีต่อตับ ความจำ ช่วยเบาหวาน

คนไทยกับต้นกล้วยเป็นความผูกพันมาช้านาน แม้วันนี้เราจะใช้ใบตองกล้วยน้อยลง หรือเลิกใช้เชือกกล้วยไปแล้วก็ตาม แต่ประเพณีชีวิตคนไทยกับต้นกล้วยยังแยกกันไม่ได้ ไม่ว่าพิธีขึ้นบ้านใหม่ หรือขบวนแห่ขันหมากแต่งงานก็จะขาดต้นกล้วยไม่ได้ ไปจนถึงพระราชพิธีพระบรมศพก็ยังมีการแทงหยวกกล้วยเป็นลวดลายประกอบพระเมรุ

ที่สำคัญคือเครื่องบายศรีใหญ่น้อยทั้งหลายที่ใช้ในพิธีศักดิ์สิทธิ์ล้วนทำมาจากใบตองที่นำมารีเป็นกลีบเป็นกรวยสวยงาม

อันเป็นที่มาของคำสำคัญที่ผูกพันชีวิตคนไทยกับต้นกล้วยว่า “พิธีรีตอง”

bananas_dsc07803ข้างต้นเป็นเรื่องของกล้วยกับประเพณีไทย ในที่นี้จะขอกล่าวถึงการ “กินกล้วยเป็นอาหารและยา” ซึ่งดำรงอยู่ในวัฒนธรรมโภชนาการและแพทย์พื้นบ้านไทยมาแต่โบร่ำโบราณไม่ขาดสายมาจนถึงทุกวันนี้ คนไทยรู้จักกินกล้วยหลายชนิดแต่ที่ฮิตที่สุดก็คือ “กล้วยน้ำว้า”

นอกเหนือจากประโยชน์ทางด้านอาหารแล้ว กล้วยยังมีคุณค่าอนันต์ในทางยา หมอพื้นบ้านใช้ใบตองอ่อนที่ยังม้วนอยู่ นำมาอังไฟสำหรับประคบรักษาอาการปวดหน้าอก อาการอักเสบพุพองของผิวหนัง หรือนำมาต้มน้ำดื่มแก้ท้องเสีย บิด แก้ผื่นคัน

สมัยที่ยาเพนิซิลินหายาก น้ำคั้นสดจากหยวกกล้วยช่วยเยียวยาโรคหนองใน ดื่มแก้ท้องร่วง ท้องเสีย หรือใช้ชโลมหนังศีรษะและเส้นผมบ่อยๆ เพื่อรักษาอาการผมร่วงและปลูกผม น้ำคั้นจากเหง้าเป็นยาแก้ไข้และบำรุงร่างกาย

นอกจากนี้ ยังมีการศึกษาฤทธิ์ป้องกันและรักษาแผลในกระเพาะอาหารในหนูทดลองหลายชนิด ซึ่งสามารถเทียบเคียงได้กับคน พบว่าผงกล้วยดิบในขนาด 5 กรัม/วัน (สำหรับหนูทดลอง) หรือประมาณ 250 กรัม/วัน สำหรับคน สามารถช่วยป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะได้

และถ้าเพิ่มปริมาณขนาด 7 กรัม/วัน (สำหรับหนูทดลอง) หรือประมาณ 350 กรัม/วันสำหรับคน จะช่วยรักษาแผลในกระเพาะที่เกิดจากการได้รับยาแอสไพริน

โดยพบว่ากล้วยจะไปกระตุ้นให้เซลล์ในเยื่อบุกระเพาะหลั่งสารเมือก (mucin) ออกมาเคลือบกระเพาะ เพิ่มความหนาและความแข็งแรงของเยื่อบุกระเพาะ ลดความเป็นกรดในกระเพาะ กระตุ้นการสร้างเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดมาโครฟาจ (macrophage) ซึ่งช่วยเร่งการสมานแผลในกระเพาะอาหารให้หายเร็วขึ้น

4455-160714022640

สรรพคุณของเรื่องกล้วยๆ ยังไม่จบเพียงเท่านี้ เพราะผลจากการศึกษาในหนูทดลอง ยังพบว่า ผงกล้วยดิบขนาด 40 กรัม/วัน สำหรับคนเป็นยารักษาเบาหวานที่ได้ผลดีและปลอดภัย โดยออกฤทธิ์กระตุ้นการสร้างอินซูลินและกระตุ้นการใช้น้ำตาลกลูโคสในร่างกายด้วย

ยิ่งไปกว่านั้นยังพบว่ากล้วยดิบมีเส้นใยอาหารจำพวกเฮมิเซลลูโลส (hemicellulose) และนิวตรอลดีเทอร์เจนต์ (nutral detergent fiber-NDF) ซึ่งเป็นเส้นใยที่ร่างกายไม่สามารถย่อยสลายได้ มีคุณสมบัติช่วยดูดซึมไขมันและคอเลสเตอรอลไว้แล้วขับออกมากับอุจจาระก้อนโตทำให้ร่างกายดูดซึมคอเลสเตอรอลน้อยลง ส่งผลให้ปริมาณไขมันในเลือดและเนื้อเยื่อลดลงด้วย

ซึ่งแน่นอนนอกจากช่วยควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในค่าปกติแล้ว กล้วยดิบโดยเฉพาะกล้วยดิบปิ้งยังเป็นอาหารยาช่วยลดน้ำหนักได้ดีและปลอดภัย

Photo taken on November 4, 2010 shows a Myanmar woman with her baby inside the Mae La refugee camp on the Thai-Myanmar border, around 80km from Mae Sot in northwest Thailand. The political party representing Myanmar's military regime was on November 5, 2010 accused by members of the opposition of "cheating" and "threatening" voters ahead of the country's first election in two decades. AFP PHOTO / Nicolas ASFOURI / AFP PHOTO / NICOLAS ASFOURI

มีสรรพคุณแบบอันซีนของกล้วยที่ไม่ใคร่มีใครรู้ก็คือ ฤทธิ์รักษาตับ

มีการศึกษาฤทธิ์รักษาตับของกล้วยในหนูที่ได้รับยาพาราเซตามอลซึ่งทำให้เกิดความเป็นพิษต่อตับ และเมื่อป้อนอาหารที่มีส่วนผสมของผงกล้วยเพียง 10% ให้หนู พบว่าผงกล้วยช่วยกระตุ้นการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ของเซลล์ตับที่ถูกทำลายจากยาพาราเซตามอลได้

และยังป้องกันการเพิ่มขึ้นของสารสีเหลืองบิลิรูบิล (bilirubin) ในเลือด เนื่องจากตับเสื่อมไม่สามารถกำจัดสารบิลิรูบิลได้

ผลการทดลองในหนูย่อมสามารถได้ผลดีในคนด้วย กล่าวคือ กล้วยสามารถช่วยกำจัดพิษในตับคนและช่วยลดสารบิลิรูบิลอันเป็นสาเหตุทำให้คนสมองเสื่อม และสารบิลิรูบิลนี่เองที่ทำให้เด็กหลังคลอดตัวเหลืองและอาจกลายเป็นโรคเอ๋อได้

มีข่าวดีสำหรับผู้สูงอายุ มีการทดลองให้หนูกินกล้วยน้ำว้าเป็นอาหารนาน 3 เดือน พบว่ากลุ่มที่กินกล้วยมีความจำดีกว่ากลุ่มที่ไม่ได้กิน เพราะกล้วยช่วยให้กลไกในการเพิ่มสารสื่อประสาทเกี่ยวกับความจำทำงานดีขึ้นอย่างมาก ดังนั้น กล้วยน้ำว้าจึงเป็นผลไม้ที่เหมาะกับผู้สูงอายุด้วย

เดี๋ยวนี้กล้วยถูกจัดเป็นสมุนไพรในสาธารณสุขมูลฐานใช้บรรเทาอาการท้องเสียแบบไม่รุนแรง โดยมีวิธีรับประทานง่ายๆ ดังนี้ ใช้กล้วยน้ำว้าห่ามสดครั้งละครึ่งถึงหนึ่งผล หรือผงกล้วยปั้นเม็ดลูกกลอนครั้งละ 4 เม็ด หรือใช้ผงกล้วยครั้งละ 1-2 ช้อนโต๊ะ รับประทานวันละ 4 ครั้ง ก่อนอาหารและก่อนนอน

ถ้าจะให้ได้ผลดียิ่งขึ้นควรกินร่วมกับน้ำขิงเพื่อเสริมฤทธิ์การขับลมช่วยลดอาการท้องอืดท้องเฟ้อได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

เมืองไทยแม้ยังเป็นประเทศกำลังพัฒนามาหลายปีดีดัก แต่ก็ยังโชคดีที่มีกล้วยน้ำว้าราคาถูกไว้เป็นอาหารและยาชั้นดีช่วยดูแลสุขภาพคนไทยตั้งแต่วัยทารกจนถึงผู้สูงวัย

ดังนั้น จึงสมควรที่หน่วยงานภาครัฐตั้งแต่กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงเกษตรฯ กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงอุตสาหกรรม ฯลฯ จะมาระดมความร่วมมือเพื่อโปรโมตวิถีวัฒนธรรมไทยกับต้นกล้วย พัฒนากล้วยเป็นผลิตภัณฑ์ยาและสินค้าโอท็อปหลากหลาย ช่วยสร้างความเข้มแข็งให้เศรษฐกิจภายในประเทศตามนโยบายใหม่ของรัฐบาลที่ไม่ต้องการยืมจมูกคนอื่นเขาหายใจ

ลองส่งเสริมเรื่องกล้วยๆ ดู รับรองเศรษฐกิจไทยหายใจคล่องขึ้นเยอะ

และเมื่อคนไทยเจอกันก็จะทักทายแบบเท่ๆ ว่า “วันนี้คุณกินกล้วยแล้วหรือยัง”