ผู้เลี้ยงไก่ เจอวิกฤตซ้อนวิกฤต! จำเป็นต้องปรับขึ้นราคา ไก่หน้าฟาร์ม กก.ละ 3 บาท 

ผู้เลี้ยงไก่ เจอวิกฤตซ้อนวิกฤต! จำเป็นต้องปรับขึ้นราคา ไก่หน้าฟาร์ม กก.ละ 3 บาท 
ผู้เลี้ยงไก่ เจอวิกฤตซ้อนวิกฤต! จำเป็นต้องปรับขึ้นราคา ไก่หน้าฟาร์ม กก.ละ 3 บาท 

ผู้เลี้ยงไก่ เจอวิกฤตซ้อนวิกฤต! จำเป็นต้องปรับขึ้นราคา ไก่หน้าฟาร์ม กก.ละ 3 บาท 

วันที่ 1 พฤษภาคม 2565 นางฉวีวรรณ คำพา นายกสมาคมส่งเสริมการเลี้ยงไก่ในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวว่า สมาคมฯ ขอเรียกร้องให้ภาครัฐพิจารณามาตรการสนับสนุนต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์ ให้มีการนำเข้าในส่วนที่ขาดแคลน และยกเลิกอุปสรรคการนำเข้า เช่น ภาษีและโควต้านำเข้า และให้ราคาเนื้อปรับขึ้นลงตามกลไกการตลาดและมีมาตรการป้องกันโรคที่เคร่งครัด เพื่อรักษามาตรฐานการผลิตและส่งออกเนื้อไก่ของไทยตามมาตรฐานสากล สร้างหลักประกันอาหารปลอดภัยให้กับผู้บริโภค

โดยล่าสุด จำเป็นต้องปรับราคาไก่หน้าฟาร์ม เป็น 42 บาทต่อกิโลกรัม จากเดือนมกราคม 2565 ที่ราคา 39 บาทต่อกิโลกรัม เพื่อให้เกษตรกรไม่ขาดทุน อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าราคาเนื้อไก่และชิ้นส่วนต่างๆ ในตลาดสด ณ วันที่ 28 เมษายน 2565 ไก่ทั้งตัวเฉลี่ยต่อกิโลกรัมอยู่ที่ 75 บาท อกไก่ 85 บาท น่องไก่ 65 บาท ถือว่าอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับต้นทุนการเลี้ยงที่เพิ่มสูงขึ้น

“ช่วงที่ภาคปศุสัตว์ต้องเผชิญกับสถานการณ์วิกฤตซ้อนวิกฤตจากโรคระบาดโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลกต่อเนื่องมากกว่า 2 ปี และผลกระทบจากการบุกรุกของรัสเซียในยูเครน ทำให้ราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ปรับสูงขึ้นทั่วโลกเป็นประวัติการณ์ โดยเฉพาะข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และข้าวสาลี ประมาณ 30% ตลอดจนน้ำมันดิบปรับสูงขึ้นเกิน 100 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ทางอุตสาหกรรมไก่เนื้อก็ต้องเผชิญปัญหาวิกฤตซ้อนวิกฤตเช่นเดียวกัน”

ที่ผ่านมา ทางผู้เลี้ยงไก่พยายามบริหารจัดการธุรกิจและต้นทุนอย่างเต็มประสิทธิภาพ เสริมแหล่งโปรตีนทางเลือกให้กับผู้บริโภคในราคาเข้าถึงได้ แม้ยืนยันว่า เป็นการปรับอย่างสมเหตุผลให้การผลิตเดินหน้าโดยไม่ให้หยุดชะงักและมีปริมาณเพียงพอต่อความต้องการ

“สิ่งที่ภาคปศุสัตว์เป็นกังวลและจะส่งผลกระทบต่อการผลิตในระดับสูง คือ ราคาเนื้อสัตว์ไม่เป็นไปตามกลไกตลาด เนื่องจากรัฐบาลต้องรักษาสมดุลทางเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อ จึงขอความร่วมมือผู้เลี้ยงในการตรึงราคาไว้ แต่เมื่อต้นทุนการผลิตปรับขึ้นรอบด้านในสถานการณ์ไม่ปกติแบบนี้ ควรให้กลไกตลาดทำงานเพื่อให้เกษตรกรสามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ และเกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย” นางฉวีวรรณ กล่าว

นางฉวีวรรณ กล่าวต่อว่า ผู้เลี้ยงไก่ก็ประสบปัญหาขาดทุนไม่ต่างกับผู้เลี้ยงสัตว์อื่นๆ โดยเฉพาะในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้ความต้องการเนื้อไก่ลดลงมากและราคาตกต่ำ เนื่องจากผู้บริโภคไม่มั่นใจรวมถึงการประกาศให้ทำงานที่บ้านและการเรียนออนไลน์ของโรงเรียนทั่วประเทศ ทำให้ผู้เลี้ยงต้องชะลอการเลี้ยงและการจับสัตว์ ทั้งที่ต้องแบกรับภาระต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่เพิ่มขึ้น เพื่อสร้างสมดุลปริมาณที่ออกสู่ตลาดและราคาไม่ให้ตกต่ำมากจนเกษตรกรอยู่ไม่ได้

ในฐานะผู้ส่งออกเนื้อไก่รายใหญ่อันดับ 4 ของโลก แสดงให้เห็นถึงการยอมรับมาตรฐานอุตสาหกรรมการเลี้ยงไก่เนื้อไทยในเรื่องคุณภาพและความปลอดภัยทางอาหารตามมาตรฐานสากลทั้งระบบตลอดห่วงโซ่การผลิต ตั้งแต่ฟาร์มเลี้ยงสัตว์ กระบวนการผลิตและแปรรูป และสามารถส่งออกไปยังประเทศที่มีกฎเกณฑ์ด้านสุขอนามัยสูง เช่น อังกฤษ ประเทศสมาชิกในสหภาพยุโรป และญี่ปุ่น เป็นต้น

“เนื้อไก่มีโปรตีนสูงและราคาถูกกว่าเนื้อสัตว์ชนิดอื่น และเนื้อไก่ที่จำหน่ายในประเทศเป็นมาตรฐานเดียวกันกับมาตรฐานส่งออก และเป็นโปรตีนทางเลือกที่สามารถหาซื้อได้ทั่วไป” นางฉวีวรรณ กล่าว

ที่มา ประชาชาติธุรกิจออนไลน์