‘พาณิชย์’ลุยโปรโมตร้านหนูณิชย์ ขยายเป็น 12,500 รายทั่วประเทศ

นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมช.พาณิชย์ กล่าวระหว่างการลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบร้านในโครงการหนูณิชย์ ว่า ขณะนี้ กระทรวงพาณิชย์กำลังเตรียมปรับแนวทางประชาสัมพันธ์ร้านอาหารที่เข้าร่วมโครงการหนูณิชย์ ด้วยการให้ดาวแก่ร้านหนูณิชย์ที่อยู่ในเกณฑ์ราคาถูก สะอาด และอร่อย ถ้าอยู่ในเกณฑ์ดังกล่าวจะได้ 4 ดาว หรือ เกรดเอ จากนั้นก็ลดหลั่นลงมาเป็นเกรด บี และซี จากปัจจุบันมีร้านหนูณิชย์ทั้งในกทม.และภูมิภาครวมทั้งสิ้น 11,711 ราย แบ่งเป็น กทม. 3,773 ราย ภูมิภาค 7,985 ราย และรูปแบบรถขายอาหารเคลื่อนที่ 7 คัน โดยปีนี้ได้ตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มเป็น 12,500 รายทั่วประเทศ และ รูปแบบรถขายอาหารเคลื่อนที่เป็น 35 คัน

สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์

หลังจากที่ได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมร้านหนูณิชย์ ร้านเจ๊พลอย อาหารตามสั่ง ซอยติวานนท์ 38 และ ร้าน อู๊ดข้าวมันไก่ตอน ถนนประชานิเวศน์ 3 ซอย12 จ. นนทบุรี เพื่อรับฟังปัญหาผู้ประกอบการในโครงการหนูณิชย์ที่มีอยู่ปัจจุบัน พบว่าส่วนใหญ่ยังคงจำหน่ายอาหารในราคาจานละ 35 บาทอยู่ แต่ต้องการให้ภาครัฐเข้ามาดูแลเรื่องต้นทุน และให้ภาครัฐช่วยเร่งประชาสัมพันธ์ร้านหนูณิชย์อย่างต่อเนื่อง โดยเรื่องของต้นทุนนั้น ยอมรับว่าเป็นเรื่องของกลไกการตลาด หากสามารถบริหารจัดการที่ดีก็มีกำไรได้ และเชื่อว่าการขายในราคาไม่แพง จะเป็นแรงผลักดันในการช่วยเหลือประชาชนให้เข้ามารับประทาน พร้อมทั้งเป็นแรงจูงใจให้ร้านค้าอื่นๆ มาร่วมโครงการมากขึ้น

“ปัญหาส่วนใหญ่อยากให้ภาครัฐเข้ามาดูแลเรื่องต้นทุน แต่ยอมรับว่าต้นทุนเป็นเรื่องของกลไกตลาด ซึ่งร้านหนูณิชย์ส่วนใหญ่ยืนยันแม้ต้นทุนสูง แต่ราคาจำหน่ายที่จานละ 35 บาท หากมีการบริหารจัดการที่ดี มีกำไร เชื่อว่าจะเป็นแรงผลักดันที่จะช่วยเหลือประชาชน และจะเป็นแรงจูงใจให้กับร้านค้าอื่นๆเข้ามามากขึ้น รวมทั้งต้องการให้ภาครัฐช่วยเร่งประชาสัมพันธ์ร้านหนูณิชย์ที่มีอยู่ผ่านแอพพลิเคชั่นของกรมการค้าภายในอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถรู้แหล่งร้านอาหารหนูณิชย์ได้” นายสนธิรัตน์ กล่าว

นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า นอกจากนั้น กระทรวงพาณิชย์จะนำโครงการธงฟ้า ราคาประหยัด ซึ่งมีสินค้าอุปโภค บริโภคราคาถูกมาจำหน่ายให้ประชาชนในพื้นที่ที่ประสบปัญหาอุทกภัยทางภาคใต้ รวมทั้งจะหารือร่วมกับผู้ประกอบการกลุ่มวัสดุก่อสร้าง และกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า ทั้งส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค เพื่อขอความร่วมมือในการลดราคาสินค้าให้ประชาชนหลังจากที่น้ำลดแล้ว เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากปัญหาน้ำท่วม และวันที่ 13 ม.ค.นี้ ตนจะลงพื้นที่จ. สงขลา พัทลุง และตรัง เพื่อรับฟังปัญหาพร้อมทั้งเยียวยาผู้ประสบภัย

“สถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ภาคใต้นั้น อาจมีผลกระทบต่อการส่งออกยางพาราบ้าง แต่ขณะนี้ยังประเมินมูลค่าความเสียหายไม่ได้ เนื่องจากต้องรอติดตามผลกระทบด้านการขนส่ง รวมถึงผลผลิตด้วย แต่อย่างไรก็ดี สถานการณ์เริ่มคลี่คลายแล้ว เชื่อว่าจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติได้ภายใน 2เดือน หลังจากที่ภาครัฐและหน่วยงานต่าง ๆ ได้เข้าไปช่วยเหลืออย่างเต็มที่ ทั้งการฟื้นฟูชีวิตความเป็นอยู่ ตลอดจนการขนส่งสินค้า และภาคอุตสาหกรรม” นายสนธิรัตน์ กล่าว