ผู้เขียน | เส้นทางเศรษฐีออนไลน์ |
---|---|
เผยแพร่ |
เศรษฐกิจไทย ไตรมาสสอง สารพัดปัจจัยเสี่ยงรุมเร้า สร้างความกังวลเรื่องเงินเฟ้อ
ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย และที่ปรึกษาการลงทุน ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย เปิดเผยว่า ตั้งแต่ต้นปีเป็นต้นมา เศรษฐกิจไทยเผชิญความผันผวนจากความไม่แน่นอน ทั้งจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน การระบาดของโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (ASF) ที่ทำให้ราคาเนื้อสัตว์และไข่ไก่แพง
ตามมาด้วยสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน ที่นำไปสู่ปัญหาราคาน้ำมันพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว และสร้างความกังวลต่อการเร่งขึ้นของเงินเฟ้อทั่วโลกไม่แค่เฉพาะไทย นอกจากนี้ การดำเนินนโยบายการเงินแบบเข้มงวดของธนาคารกลางสหรัฐฯ
รวมทั้งฟากเอเชีย เผชิญความเสี่ยงของการออกมาตรการควบคุมกฎระเบียบต่อบริษัทจีนและการกลับมาออกมาตรการล็อกดาวน์เพื่อควบคุมการระบาดของโควิดอีกครั้งในประเทศจีน
โดยรวมปัจจัยเหล่านี้น่าจะส่งผลให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงกว่าที่คาดไว้ โดยเฉพาะการเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด รวมทั้งการลดงบดุลเพื่อสกัดเงินเฟ้อที่จะยิ่งทำให้การใช้จ่ายและการลงทุนภาคเอกชนชะลอต่อเนื่องได้ในปีนี้
ด้วยปัจจัยเสี่ยงที่รุมเร้าเช่นนี้ สำนักวิจัยฯ ได้ปรับลดการคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจปีนี้ลงจาก 3.8% เหลือ 3.1% หลังจากที่เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ 1.6% ในปี 2564
แม้โลกเต็มไปด้วยความผันผวน แต่เศรษฐกิจไทยไตรมาสแรก มีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องจากปีก่อน หลังเผชิญปัญหาโควิด-19 ช่วงไตรมาสสองต่อเนื่องและรุนแรงขึ้นในไตรมาสสาม โดยต้นปีนี้ การส่งออกยังคงขยายตัวโดดเด่น แม้มีปัญหาค่าระวางเรือสูง การขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ และปัญหาการขาดแคลนชิปเซมิคอนดักเตอร์ ที่กระทบภาคการผลิตกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และยานยนต์
แต่เศรษฐกิจประเทศสำคัญ ยังมีความต้องการสินค้าที่สูง แม้อาจไม่ได้เร่งแรงเหมือนปีก่อนตามปัญหาเงินเฟ้อในแต่ละประเทศที่กดดันการบริโภคและการลงทุน แต่เศรษฐกิจในหลายประเทศยังเติบโตได้สูงกว่าศักยภาพ ซึ่งเป็นผลดีต่อการส่งออกไทยในปีนี้
นอกจากนี้ การบริโภคภาคเอกชนของไทยช่วงไตรมาสแรกยังประคองตัวได้ ได้รับแรงสนับสนุนจากกำลังซื้อระดับกลางถึงบนที่มีความเชื่อมั่นและความมั่นคงทางการเงิน ตลอดจนมาตรการภาครัฐที่สนับสนุนการบริโภคผ่านการลดหย่อนภาษี น่าจะช่วยให้การใช้จ่ายไม่ได้ชะลอแม้จำนวนผู้ติดเชื้อรายวันพุ่งสูง อีกทั้งรัฐได้มีมาตรการประคองกำลังซื้อผ่านมาตรการคนละครึ่ง ซึ่งน่าจะช่วยสนับสนุนการใช้จ่ายในหมวดอาหารและเครื่องดื่มได้บ้าง
ส่วนการท่องเที่ยวยังไม่ได้ฟื้นตัวมากนักในช่วงไตรมาสแรก เนื่องจากการระบาดของสายพันธุ์โอมิครอนได้ทำให้รัฐบาลเพิ่มความเข้มงวดในการรับชาวต่างชาติเข้าประเทศ รวมถึงความเชื่อมั่นนักเดินทางที่ลดลงจากปัญหารัสเซียและยูเครน โดยเฉพาะเมื่อค่าเงินของรัสเซียอ่อนค่าลงแรง ก็กระทบความสามารถในการใช้จ่ายของคนรัสเซียและมีผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวลดลง
มองต่อไปในช่วงไตรมาสสอง เศรษฐกิจไทยน่าจะขยายตัวในอัตราที่เร่งขึ้นกว่าช่วงไตรมาสแรก โดยเราคาดว่า GDP ไทยในช่วงไตรมาสสองจะขยายตัว 2.3% จากช่วงเวลาเดียวกันปีก่อนหรือ 0.8% เทียบไตรมาสต่อไตรมาสหลังปรับฤดูกาล โดยเราได้ตั้งข้อสังเกตของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจช่วงไตรมาสสองไว้ดังนี้
การท่องเที่ยวกระเตื้องขึ้น เมื่อความเชื่อมั่นฟื้น และเชื่อว่าคนอยู่ร่วมกับโควิดได้ การท่องเที่ยวน่าจะกระเตื้องขึ้น แม้จำนวนผู้ติดเชื้อรายวันจะยังสูงกว่าหมื่นรายต่อวัน แต่เมื่อได้รับวัคซีนที่มีประสิทธิภาพมากพอ และอาการไม่รุนแรง รัฐบาลไม่น่าจะกลับมาล็อกดาวน์อีกและพร้อมเดินหน้าเปิดประเทศและลดข้อจำกัดต่างๆ ได้มากขึ้น อันเป็นผลดีต่อการท่องเที่ยวจากต่างชาติและคนไทยในประเทศ
อย่างไรก็ดี เราไม่ได้คาดหวังจำนวนนักท่องเที่ยวในช่วงไตรมาสสองมากกว่า 500,000 ราย เนื่องจากไม่ได้เป็นฤดูกาลท่องเที่ยวในฝั่งตะวันตก จีนยังไม่เปิดประเทศ และปัญหาค่าเงินรัสเซียอ่อนค่าน่าจะทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวรัสเซียลดลง
รายได้ภาคเกษตรดีขึ้น จากปริมาณผลผลิตที่ออกมามากขึ้นตามระดับน้ำในเขื่อนที่มากกว่าปีก่อน ตลอดจนราคาสินค้าเกษตรที่โดยมากมีการเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกับราคาน้ำมัน ส่งผลให้รายได้จากการปลูกข้าว ยางพารา ปาล์ม อ้อย และมันสำปะหลังดีขึ้น และน่าจะเป็นผลดีต่อยอดขายรถมอเตอร์ไซค์ วัสดุการเกษตร และสินค้าอุปโภค บริโภคทั่วไป
อย่างไรก็ดี เนื่องจากรายได้ภาคเกษตรตกต่ำเป็นเวลานาน หนี้ครัวเรือนสูง อาจทำให้เงินไหลเวียนในระบบมีไม่มาก ขณะที่การใช้จ่ายภาคเอกชนโดยรวมน่าจะแผ่วจากรายได้นอกภาคเกษตรที่โตช้า ค่าครองชีพที่ทะยานขึ้นสูง และจากมาตรการเงินโอนจากรัฐบาลที่เริ่มสิ้นสุดลง
โดยสินค้าที่น่าจะพอประคองไปได้น่าจะเป็นกลุ่มอาหาร และเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ แต่กลุ่มเสื้อผ้า รองเท้า และเฟอร์นิเจอร์น่าจะชะลอตัว ส่วนร้านอาหาร อาจได้รับผลกระทบจากราคาอาหารที่ปรับตัวขึ้น ขณะที่กลุ่มโรงแรมและธุรกิจท่องเที่ยวยังเผชิญความท้าทายจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ยังต่ำ แต่ก็น่าจะขยายตัวได้ดีกว่าในปีที่ผ่านมา ส่วนธุรกิจโรงพยาบาลและกลุ่มสุขภาพ น่าจะขยายตัวได้ดี
การส่งออกยังขยายตัวในช่วงไตรมาสสอง แม้ชะลอไปบ้างจากไตรมาสแรก แต่ด้วยการส่งออกสินค้าเกษตร ปิโตรเคมี และสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ ที่ราคาขยับขึ้นตามราคาน้ำมันน่าจะพยุงการส่งออกได้ อีกทั้งการส่งออกสินค้ากลุ่มยานยนต์และชิ้นส่วน อิเล็กทรอนิกส์และชิ้นส่วน และกลุ่มอาหารแปรรูปที่ไทยมีความสามารถในการแข่งขันและตลาดสำคัญ เช่น สหรัฐ ยุโรป และอาเซียน ยังคงเติบโตได้
นอกจากนี้ เงินบาทที่อ่อนค่าจะยังคงพยุงรายได้จากการส่งออกได้ แต่ที่น่ากังวลน่าจะเป็นกลุ่มผู้นำเข้า เนื่องจากต้นทุนการนำเข้าสินค้าสูงตามค่าเงินบาทที่อ่อนค่า และจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้นกดดันให้ไทยขาดดุลการค้าได้ในปีนี้ นอกจากนี้ กลุ่มที่มีสัดส่วนการนำเข้าเพื่อการผลิตที่สูงและตลาดส่วนใหญ่อยู่ในประเทศอาจได้รับผลกระทบแรงกว่ากลุ่มที่ใช้วัตถุดิบในประเทศเพื่อผลิตสินค้าเพื่อส่งออก
การใช้จ่ายภาครัฐแผ่ว แม้มีมาตรการพยุงกำลังซื้อ แต่อาจมีข้อจำกัดเรื่องงบประมาณ จึงทำให้ไม่สามารถครอบคลุมผู้ได้รับผลกระทบจากค่าครองชีพที่สูงได้ทั้งหมด และอาจส่งผลให้กำลังซื้อของคนรายได้น้อยอ่อนแอลง โดยมาตรการพยุงค่าครองชีพที่ออกมา
แม้มีส่วนช่วยให้คนสามารถใช้น้ำมันดีเซลในราคาถูก ลดต้นทุนการขนส่ง แต่ก็อาจบิดเบือนกลไกตลาด และอาจทำให้ไทยขาดประสิทธิภาพในการใช้พลังงานในระยะยาว
ซึ่งอาจเห็นการแยกคนที่ไม่ได้รับผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจเพื่อกันไม่ให้ได้ประโยชน์จากมาตรการนี้อันจะช่วยลดงบประมาณที่จำกัด แต่โดยสรุป การใช้จ่ายภาครัฐในปีนี้ที่ลดลงจากปีก่อนน่าจะไม่ใช่พระเอกในไตรมาสสอง
เอกชน อาจยังรอลงทุนโครงการใหม่ โดยเฉพาะหากมีความเสี่ยงด้านเสถียรภาพของรัฐบาลและแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เนื่องจากไทยกำลังก้าวเข้าสู่การเลือกตั้งผู้แทนราษฎรและกำลังจะเปลี่ยนรัฐบาลในอีก 12 เดือนข้างหน้า โดยการเปลี่ยนแปลงผ่านการเลือกตั้งจะเป็นกลไกสากลตามระบอบประชาธิปไตย
และหากรัฐบาลปัจจุบันสร้างความชัดเจนว่า นโยบายการลงทุนจะไม่เปลี่ยนแปลงแม้ใครเข้ามาบริหารประเทศต่อก็ตาม ก็จะช่วยให้ประเทศไทยเป็นที่หมายตาของนักลงทุนต่างชาติที่อยากย้ายฐานการผลิตจากจีนเพื่อเลี่ยงการล็อกดาวน์จากปัญหาโควิด และการย้ายฐานเพื่อเลี่ยงปัญหาสงครามการค้ากับสหรัฐ
ด้านค่าเงินบาท มีโอกาสอ่อนค่าแตะระดับ 34.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ จากความกังวลในการลงทุนสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลกตามปัญหาความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ส่งผลให้ราคาน้ำมันเพิ่มสูง ซึ่งมีผลให้ไทยขาดดุลการค้า ส่วนรายได้จากการท่องเที่ยวที่ยังอยู่ในระดับต่ำ แต่ค่าขนส่งสินค้าแพงขึ้น อีกทั้งจะมีเงินโอนจ่ายเงินปันผลไปต่างประเทศช่วงไตรมาสสองที่มาก ทำให้ไทยขาดดุลบัญชีบริการและรายได้