เผยแพร่ |
---|
ฟื้นสัมพันธ์ซาอุฯ โอกาสทองสินค้า-ธุรกิจไทย คาดส่งออกปี 65 โต 15%
การฟื้นความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับซาอุดีอาระเบียครั้งแรกในรอบ 30 ปี ส่งผลให้หลังจากนี้คงจะมีการเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจระหว่างกันมากขึ้น โดยในปี 2564 ไทยมีมูลค่าการค้ากับซาอุฯ รวมเพียง 7,301 ล้านดอลลาร์ ส่วนใหญ่ไทยพึ่งพาการนำเข้าน้ำมันและเคมีภัณฑ์สูงถึง 5,662 ล้านดอลลาร์ ขณะที่ไทยส่งออกสินค้าเพียง 1,638 ล้านดอลลาร์ คิดเป็นเพียง 0.6% ของการส่งออกทั้งหมดของไทย
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า การกระชับความสัมพันธ์ครั้งนี้จะสร้างโอกาสใหม่แก่สินค้าและธุรกิจไทย ขณะเดียวกันก็ต้องจับตาการแข่งขันกับประเทศคู่แข่งอย่างเวียดนามและอินโดนีเซีย ซึ่งแม้สินค้าไทยจะตอบโจทย์ความต้องการของซาอุฯ ได้โดดเด่นที่สุดในอาเซียน แต่ในช่วงที่ผ่านมาสินค้าจากคู่แข่งอย่างอินโดนีเซียหลายรายการก็เริ่มแข่งขันกับไทย อาทิ รถยนต์นั่ง อาหารทะเลแปรรูป ขณะเดียวกัน ก็ต้องระวังสินค้าข้าวจากเวียดนามที่อาจแข่งกับข้าวไทยมากขึ้น
อย่างไรก็ดี การแข่งขันของไทยกับคู่แข่งในขณะนี้ยังอยู่ในสถานะเท่าเทียมกัน คือต้องเสียภาษีนำเข้าเฉลี่ยที่ 5.6% (MFN rate) ซึ่งการจะผลักดันการส่งออกของไทยไปซาอุฯ ให้เติบโตได้เต็มศักยภาพส่วนหนึ่งต้องอาศัยแรงผลักดันของภาครัฐ ซึ่งหากอาศัยจังหวะที่ไทยและซาอุฯ เริ่มสานสัมพันธ์ครั้งใหม่ต่อยอดเจรจาจัดทำ FTA ระหว่างกันได้ก่อนชาติอื่น โดยอาจใช้รูปแบบเดียวกับสิงคโปร์ผ่านความตกลง GCC ก็จะช่วยสร้างแต้มต่อให้สินค้าไทยมีโอกาสเข้าทำตลาดได้มากขึ้น
ซาอุฯ เป็นตลาดอันดับ 2 ของไทยในตะวันออกกลาง เป็นตลาดที่มีโอกาสเติบโตอีกมาก มีรายได้ต่อหัวสูงที่ราว 20,000 ดอลลาร์ต่อคนต่อปี มีประชากร 30 ล้านคน ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า ปี 2565 ด้วยแรงฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและราคาพลังงานที่สูงขึ้นจะช่วยสร้างรายได้กระตุ้นกำลังซื้อในประเทศซาอุฯ เป็นอานิสงส์โดยรวมต่อการส่งออกไทยไปซาอุฯ ให้กลับสู่ภาวะใกล้เคียงก่อนโควิด-19 โดยมีโอกาสเติบโต 15% มูลค่าส่งออกราว 1,900 ล้านดอลลาร์
และต่อไปสัญญาณบวกจากการฟื้นความสัมพันธ์นี้ น่าจะทำให้สินค้าไทยเป็นที่รู้จักและอาจทำให้การส่งออกไทยไปซาอุฯ เร่งตัวอีก 1,000 ล้านดอลลาร์ ในเวลา 3 ปี แตะมูลค่า 2,600 ล้านดอลลาร์ ในปี 2567 โดยได้รับแรงผลักดันสำคัญจากสินค้าอาหารฮาลาล ยานยนต์และส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์ยาง ผลิตภัณฑ์ไม้ เครื่องใช้ไฟฟ้า