ตรุษจีนปีนี้ คนกรุงลดงบแต๊ะเอีย ใช้จ่ายรัดกุม รับมือค่าครองชีพสูง 

ตรุษจีนปีนี้ คนกรุงลดงบแต๊ะเอีย ใช้จ่ายรัดกุม รับมือค่าครองชีพสูง 
ตรุษจีนปีนี้ คนกรุงลดงบแต๊ะเอีย ใช้จ่ายรัดกุม รับมือค่าครองชีพสูง 

ตรุษจีนปีนี้ คนกรุงลดงบแต๊ะเอีย ใช้จ่ายรัดกุม รับมือค่าครองชีพสูง 

ราคาสินค้าและค่าครองชีพที่สูงขึ้นเป็นปัจจัยหลักที่กดดันการใช้จ่ายของคนกรุงเทพฯ ในช่วงเทศกาลตรุษจีนปี 2565 ซึ่งแม้ว่าการระบาดของโควิดสายพันธุ์โอมิครอน จะสร้างความกังวลต่อผู้บริโภคอยู่บ้าง แต่คนไทยเชื้อสายจีนบางกลุ่มยังให้ความสำคัญกับเทศกาลตรุษจีน จึงยังวางแผนทำกิจกรรม แม้จะเป็นไปอย่างระมัดระวังและมีการปรับตัวให้สอดคล้องกับสภาพตลาดและกำลังซื้อ

โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า เม็ดเงินใช้จ่ายในช่วงเทศกาลตรุษจีนปี 2565 ของคนกรุงเทพฯ อยู่ที่ราว 11,790 ล้านบาท ทรงตัวเมื่อเทียบกับปีก่อนที่หดตัวกว่า 10.4% เนื่องจากมีการวางแผนงบประมาณอย่างรัดกุม โดยยังคงให้น้ำหนักกับการซื้อเครื่องเซ่นไหว้เป็นหลัก ซึ่งแม้ราคาจะสูงขึ้น แต่คนกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่ปรับตัวโดยลดปริมาณการซื้อลง และหันมาปรับพฤติกรรมการใช้จ่ายในส่วนอื่น

อาทิ จากผลสำรวจชี้ว่าแม้จะมีการออกมาทำบุญ/ท่องเที่ยวมากขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน แต่ก็จะใช้จ่ายอย่างระมัดระวังภายใต้งบประมาณที่ได้ตั้งไว้ รวมถึงปรับลดงบประมาณแต๊ะเอีย ทั้งจำนวนเงินและจำนวนผู้ให้

โดยเม็ดเงินดังกล่าวแบ่งเป็น ค่าใช้จ่ายเครื่องเซ่นไหว้ 6,000 ล้านบาท (ขยายตัว 7.1%) ค่าใช้จ่ายท่องเที่ยว/ทำบุญ/ทานข้าวนอกบ้าน 3,050 ล้านบาท (ขยายตัว 2.8%) และเงินแต๊ะเอีย 2,740 ล้านบาท (หดตัว 14.8%) ตามลำดับ

สำหรับการเพิ่มยอดขายในช่วงเทศกาลตรุษจีนนั้น ภาคธุรกิจต้องวางแผนการตลาดและเพิ่มบริการที่ตอบโจทย์ลูกค้า โดยเฉพาะการจัดโปรโมชั่นด้านราคา และเพิ่มบริการที่สร้างความสะดวกให้ผู้บริโภค

โดยในปี 2565 คาดว่า การสั่งซื้อออนไลน์ หรือโทรสั่งให้ร้านค้าส่งดีลิเวอรี่จะยังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น ซึ่งผลสำรวจระบุว่า สัดส่วนการสั่งซื้อเครื่องเซ่นไหว้ออนไลน์เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับการไปซื้อที่ร้าน แม้ว่าในการจัดเตรียมเครื่องเซ่นไหว้นั้น ผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังเลือกซื้อแยกชนิดตามร้านต่างๆ แต่หากเป็นการซื้อออนไลน์ จะพบว่า เครื่องเซ่นไหว้ที่จัดเป็นชุดสำเร็จจะได้รับความสนใจมากกว่าการแยกซื้อ

และเมื่อหากมองไปข้างหน้า พฤติกรรมและมุมมองของผู้บริโภคคนไทยเชื้อสายจีนที่มีต่อตรุษจีน คงจะเปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์และกำลังซื้อที่เผชิญอยู่ ซึ่งจะกลายเป็นโจทย์ท้าทายสำหรับผู้ประกอบการปีต่อๆ ไป

ดังนั้น การปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ให้เหมาะสมและเท่าทันกับพฤติกรรมและสภาพตลาดที่เกิดขึ้นในทุกช่องทางการขายทั้งหน้าร้านและออนไลน์ เป็นแนวทางหนึ่งที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถไปต่อได้ในระยะข้างหน้า