ตรวจหา โอมิครอน รู้ผลภายใน 30 นาที แม่นยำกว่า ATK  ผลงานสตาร์ตอัพไทย

ตรวจหา โอมิครอน รู้ผลภายใน 30 นาที แม่นยำกว่า ATK  ผลงานสตาร์ตอัพไทย

ตลอดเวลาที่ผ่านมา มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ฝ่าฟันกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลกเปิดมิติใหม่โดยแทนที่จะผลักดันนักศึกษาให้เป็นสตาร์ตอัพทีละราย สู่การส่งเสริมให้เกิดกลุ่มสตาร์ตอัพ ต่อยอดเทคโนโลยีที่ใช้ประโยชน์ได้จริงแบบบูรณาการ ก่อนการก้าวสู่การเป็นสตาร์ตอัพในสเกลที่ใหญ่ขึ้น หลังสำเร็จการศึกษา ซึ่งจะเป็นการร่วมผลักดันประเทศไทย ให้สามารถก้าวสู่การเป็นประเทศนวัตกรรมได้ทัดเทียมนานาประเทศต่อไป

ตัวอย่างที่นับเป็นความภาคภูมิใจของมหาวิทยาลัยมหิดล ได้แก่ กลุ่มสตาร์ตอัพ จากกลุ่มนักศึกษาคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล นำโดย คุณกวิน น้าวัฒนไพบูลย์ ที่ได้ต่อยอดพัฒนาชุดตรวจ RT-LAMP ตั้งแต่เมื่อครั้งที่เริ่มมีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 จนปัจจุบันได้พัฒนาสู่เวอร์ชั่น 3 ที่สามารถตรวจครอบคลุมสายพันธุ์ OMICRON (โอมิครอน)

และสายพันธุ์อื่นๆ ที่ทางองค์การอนามัยโลก ประกาศให้เฝ้าระวัง ได้แก่ DELTA, ALPHA และ BETA ซึ่งเป็นผลงานนวัตกรรมร่วมระหว่างคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี และ คณะวิทยาศาสตร์ ประกอบกับการสนับสนุนจาก สถาบันบริหารจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรม (iNT) มหาวิทยาลัยมหิดล

“สายพันธุ์ OMICRON เกิดจากการกลายพันธุ์ของเชื้อไวรัส COVID-19 จนทำให้สามารถเข้าไปจับกับเซลล์ในร่างกายได้ง่ายขึ้น ซึ่งการกลายพันธุ์เป็นธรรมชาติของเชื้อไวรัสโดยทั่วไป สำหรับชุดตรวจ RT-LAMP เวอร์ชั่น 3 นี้ นอกจากผ่านการรับรองโดยองค์การอาหารและยา (อย.) แล้ว ยังมีจุดเด่นที่ความไว และเวลาที่ใช้ตรวจที่สั้นกว่าสองเวอร์ชั่นแรก โดยมีความไวถึงร้อยละ 96.51 และใช้เวลาตรวจเพียง 30 นาที

ผลงาน

จากการเก็บตัวอย่างสารคัดหลั่งหลังโพรงจมูก (Nasal Swab) หรือการป้ายลำคอ (Throat Swab) สามารถดูผลการติดเชื้อได้จากการเปลี่ยนสีของน้ำยา ผลลบจะเป็นสีชมพูเหมือนเดิม แต่ผลบวกจะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง ชุดตรวจ RT-LAMP นี้ ใช้ตรวจเฉพาะในห้องปฏิบัติการโดยผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งให้ความแม่นยำกว่าการตรวจด้วย ATK” คุณกวิน กล่าว

ด้าน แพทย์หญิงรพีพรรณ รัตนวงศ์นรา มอร์ด อาจารย์ประจำสาขาวิชาโรคติดเชื้อ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ได้แสดงความห่วงใยประชาชนถึงการป้องกันความรุนแรงที่จะเกิดจากการติดเชื้อไวรัส COVID-19 สายพันธุ์ OMICRON ว่า สามารถทำได้ด้วยการเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกัน COVID-19 อย่างน้อย 2 เข็ม

ซึ่งถึงแม้จะไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อที่กลายพันธุ์ได้ 100% แต่สามารถช่วยลดความรุนแรงของอาการที่อาจเกิดขึ้นจนถึงกับต้องเข้ารับการรักษาในห้อง ICU ได้ โดยควรปฏิบัติตามสูตรการฉีดวัคซีนต่อเนื่องที่ประกาศโดยกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข

“การเตรียมพร้อมร่างกายก่อนเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกัน COVID-19 ด้วยการควบคุมเบาหวาน ไขมัน ความดัน และน้ำหนักตัว จะทำให้เมื่อได้รับวัคซีนแล้ว ร่างกายจะแสดงปฏิกิริยาน้อยลง และถือเป็นโอกาสอันดีที่จะได้ดูแลสุขภาพไปด้วย ซึ่งการฉีดวัคซีนควรทำเมื่อพร้อม และในรายที่มีปัญหาสุขภาพอยู่ก่อนแล้ว ก่อนเข้ารับการฉีดวัคซีนควรปรึกษาแพทย์” แพทย์หญิงรพีพรรณ กล่าว