อาชีพแห่งยุค นักกายภาพบำบัดวิชาชีพ เร่งเสริมความรู้ การจัดการความปวด

อาชีพแห่งยุค นักกายภาพบำบัดวิชาชีพ เร่งเสริมความรู้ การจัดการความปวด

ผศ.ดร.ทิพย์วดี บรรพระจันทร์ ประธานหลักสูตรวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชากายภาพบำบัดคลินิก คณะกายภาพบำบัด มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวถึงหลักสูตรปริญญาโทกายภาพบำบัดแห่งแรกในประเทศไทยว่า อยู่ที่ คณะกายภาพบำบัด มหาวิทยาลัยมหิดล มีประวัติศาสตร์อันยาวนานเกือบ 4 ทศวรรษ ในการริเริ่มจัดตั้งหลักสูตรดังกล่าว และได้มีการปรับปรุงจนเป็นหลักสูตรที่เน้นด้านคลินิก หรือการฝึกปฏิบัติเช่นปัจจุบัน

เพื่อสนองรับสังคมผู้สูงอายุ ตลอดจนประชาชนในทุกกลุ่ม หลักสูตรวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชากายภาพบำบัดคลินิก คณะกายภาพบำบัด มหาวิทยาลัยมหิดล จึงได้มีการออกแบบให้สามารถจัดการปัญหาทางกายภาพบำบัดที่ซับซ้อนซึ่งครอบคลุมใน 7 สาขาวิชา ได้แก่ ระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ ระบบประสาท ระบบหายใจ หัวใจ และหลอดเลือด กายภาพบำบัดเด็ก กายภาพบำบัดทางการกีฬา กายภาพบำบัดชุมชนและการส่งเสริมสุขภาพ และกายภาพบำบัดในผู้สูงอายุ

โดยเมื่อเร็วๆ นี้ มีการเปิดให้นักกายภาพบำบัดวิชาชีพได้ Upskill-Reskill ลงทะเบียนเรียนออนไลน์ในรายวิชา ทฤษฎีและการจัดการความปวด เพื่อเสริมทักษะทางวิชาชีพ ในโครงการ MAP-C (Mahidol Apprenticeship Program Curriculum) สำหรับบุคคลทั่วไปของบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งผู้สำเร็จรายวิชาจากโครงการ MAP-C สามารถเทียบโอนหน่วยกิตเข้าศึกษาต่อในหลักสูตรวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต และประกาศนียบัตรบัณฑิต สาขาวิชากายภาพบำบัดคลินิก ของคณะกายภาพบำบัด มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ทันที

หรือจะเลือกช่องทางการศึกษาเพื่อเพิ่มพูนทักษะความรู้ในรูปแบบการอบรมวิชาการเชิงปฏิบัติการ ซึ่งไม่ต้องมีการสอบเก็บคะแนน ในวันเสาร์-อาทิตย์ โดยไม่ต้องลางานมาเข้ารับการฝึกปฏิบัติออนไลน์อีกด้วย นอกจากนี้ผู้เรียนจะได้ร่วมสัมมนาออนไลน์เพื่อฝึกแก้ปัญหาจัดการความปวดในรูปแบบต่างๆ ร่วมกับผู้เรียนในโครงการ MAP-C ซึ่งนักกายภาพบำบัดวิชาชีพที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดการรับสมัครได้ที่ https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=384rtrva

ผศ.ดร.ทิพย์วดี บรรพระจันทร์ ประธานหลักสูตรวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชากายภาพบำบัดคลินิก คณะกายภาพบำบัด มหาวิทยาลัยมหิดล

นอกจากนี้ ผศ.ดร.ทิพย์วดี ยังได้แนะนำ วิธีการจัดการความปวดอย่างง่ายสำหรับประชาชนทั่วไป ซึ่งเป็นวิธีที่ทุกคนเคยเรียน แต่เมื่อถึงเวลาใช้จริง ส่วนใหญ่มักนึกไม่ออกว่าจะต้องทำอย่างไร ระหว่างการใช้ความร้อน และความเย็นในการประคบบริเวณที่ปวด มีวิธีจำง่ายๆ คือ ร้อนห้ามเจอร้อน

หากมีอาการปวดอย่างเฉียบพลัน จนบริเวณที่ปวดเกิดอาการบวมแดงอักเสบ เช่น ข้อเท้าพลิก ให้บรรเทาอาการด้วยการประคบเย็นในช่วงแรกของการบาดเจ็บ แต่ถ้าปวดแบบเรื้อรัง โดยไม่มีอาการอักเสบร่วมด้วย  เช่น ปวดกล้ามเนื้อคอ บ่า ไหล่ หรือบริเวณเข่า ให้บรรเทาอาการด้วยการประคบร้อน

เทคนิคของการประคบเย็น คือ ให้ใช้เจลเย็น หากไม่มีให้ใช้ถุงน้ำแข็งประคบ โดยใช้น้ำแข็งผสมน้ำในอัตราส่วน 1:1 ประคบบริเวณที่ปวดเป็นเวลา 15-20 นาที ภายใน 24-48 ชั่วโมง โดยระหว่างประคบจะต้องไม่รู้สึกเย็นจนเกินไป เพราะไม่เช่นนั้นจะทำให้เกิดผิวหนังไหม้ (burn) ได้ ซึ่งการประคบเย็นที่ถูกวิธีจะช่วยลดความปวด รวมทั้งอาการอักเสบ และป้องกันเนื้อเยื่อไม่ให้ได้รับการบาดเจ็บมากจนเกินไป

ส่วนเทคนิคการประคบร้อน ให้ใช้แผ่นร้อนไฟฟ้า หรือกระเป๋าน้ำร้อนประคบตรงบริเวณที่มีอาการปวดประมาณ 15-20 นาที ระหว่างประคบควรใช้ความร้อนที่พอรู้สึกอุ่นสบาย ไม่ร้อนจนเกินไป แต่ส่วนใหญ่มักเข้าใจผิดว่ายิ่งร้อนยิ่งดี โดยการประคบร้อนที่ถูกวิธีจะช่วยลดปวด ช่วยให้กล้ามเนื้อคลายตัว ทำให้เลือดไหลเวียนมาในบริเวณที่ประคบมากขึ้น ซึ่งจะเป็นการเร่งให้กล้ามเนื้อได้ซ่อมแซมฟื้นตัวดีขึ้น

โดยทั้งหมดนี้สามารถติดตามได้จากบทความและคลิปวิดีโอที่น่าสนใจเกี่ยวกับกายภาพบำบัดน่ารู้สำหรับประชาชน เพื่อการมีสุขภาวะและคุณภาพชีวิตที่ดีด้วยตัวเองอย่างยั่งยืน จาก Facebook : คณะกายภาพบำบัด มหาวิทยาลัยมหิดล และเว็บไซต์ของคณะกายภาพบำบัด มหาวิทยาลัยมหิดล www.pt.mahidol.ac.th