เปิดลิสต์กลุ่มสินค้า ที่ได้รับผลกระทบโดยตรง จากการเรียกเก็บ ภาษีความเค็ม

เปิดลิสต์กลุ่มสินค้า ที่ได้รับผลกระทบโดยตรง จากการเรียกเก็บ ภาษีความเค็ม

คนไทยจำนวนไม่น้อย ที่มีรสนิยมในการทานรสเค็ม ซึ่งการบริโภคโซเดียมเฉลี่ยของไทย อยู่ที่ 3,636 มิลลิกรัมต่อวัน ซึ่งถือว่าสูงกว่าปริมาณที่องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำเกือบ 2 เท่า ซึ่งอาจเป็นหนึ่งในสาเหตุของโรคไม่ติดต่อเรื้อรังหลายชนิด อีกทั้งคิดเป็นค่ารักษาพยาบาลรวมไม่ต่ำกว่า 1 แสนล้านบาทต่อปี หรือเกือบ 1 ใน 4 ของค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพทั้งหมดของประเทศ

ทำให้ภาครัฐมีการออกข่าวการเก็บภาษีความเค็มไปเมื่อปลายๆ ปีที่แล้ว และอยู่ระหว่างพิจารณากำหนดแนวทางการจัดเก็บ ภาษีความเค็ม เพื่อลดการบริโภคโซเดียมของคนไทย ซึ่งคาดว่าจะมีการประกาศแนวทางปฏิบัติในปี 65 เพื่อให้ผู้ประกอบการปรับปรุงการผลิต ก่อนจะมีการบังคับใช้

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า กลุ่มสินค้าที่อาจเข้าข่ายมีปริมาณโซเดียมสูง (วัดจากปริมาณโซเดียมต่อหนึ่งบรรจุภัณฑ์จากการสำรวจสุ่มตัวอย่างสินค้าในตลาด) น่าจะมีมูลค่าตลาดอยู่ที่ประมาณ 88,000 ล้านบาทในปี 65 หรือคิดเป็น 18% ของมูลค่าตลาดอาหารสำเร็จรูปและกึ่งสำเร็จรูปทั้งหมด

โดยแม้ยังต้องติดตามเกณฑ์ที่ภาครัฐจะใช้กำหนดอัตราภาษี แต่ในกรณีที่มีการจัดเก็บภาษีความเค็มในระยะข้างหน้า คาดว่ากลุ่มสินค้าที่จะได้รับผลกระทบเรียงตามลำดับ น่าจะได้แก่

1. บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป

2. อาหารแช่เย็น/แช่แข็ง

3. โจ๊กกึ่งสำเร็จรูป

4. อาหารปรุงสำเร็จ

5. ปลากระป๋อง

6. ขนมขบเคี้ยว

ท่ามกลางสถานการณ์ต้นทุนการผลิตที่ปรับเพิ่มขึ้น ทั้งต้นทุนด้านพลังงาน ราคาน้ำมันปาล์ม และข้อจำกัดด้านการขนส่ง ซึ่งสวนทางกับกำลังซื้อที่ต้องใช้เวลาฟื้นตัวและค่าครองชีพที่เร่งตัวขึ้นจากภาวะเงินเฟ้อ

อย่างไรก็ตาม นอกจากประเด็นภาษีความเค็มแล้ว การเร่งขึ้นของต้นทุนท่ามกลางภาวะค่าครองชีพสูง ตลอดจนพฤติกรรมของผู้บริโภคที่หันมาใส่ใจดูแลสุขภาพควบคู่กับการให้ความสำคัญเรื่องสิ่งแวดล้อมมากขึ้น นับเป็นโจทย์ที่ผู้ประกอบการผลิตอาหารสำเร็จรูปและกึ่งสำเร็จรูปจำเป็นต้องเร่งปรับตัว

ดังนั้น การบังคับใช้ภาษีดังกล่าวอาจต้องพิจารณาช่วงเวลาที่เหมาะสมและมีระยะเวลาให้ผู้ผลิตสามารถปรับตัว ไม่ว่าจะเป็นการปรับสูตรอาหารหรือการใช้เกลือโซเดียมต่ำทดแทน ซึ่งจำเป็นต้องดำเนินการควบคู่ไปกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคในการเลือกรับประทานอาหารให้ถูกต้องตามหลักโภชนาการ รวมไปถึงให้ความรู้ถึงความเสี่ยงของโรคจากการบริโภคโซเดียมมากเกินไป