ไทย จ่อขึ้นแท่น ผู้ส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยง อันดับ 3 ของโลก ปี 65 

ไทย จ่อขึ้นแท่น ผู้ส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยง อันดับ 3 ของโลก ปี 65 

การส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงของไทย ปัจจุบันอยู่ในอันดับ 4 ของโลก ยังมีโอกาสเติบโตต่อเนื่อง และคาดว่ามูลค่าการส่งออกในปี 2565 จะแตะระดับที่ 2.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เติบโตราว 20% ชะลอตัวเล็กน้อยจากปี 2564 ที่คาดว่าจะโต 23% ขยับขึ้นมาเป็นผู้ส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงอันดับที่ 3 ของโลก

จากอุปสงค์ในต่างประเทศที่ยังขยายตัวต่อเนื่อง ทั้งปริมาณการเลี้ยงสัตว์ที่เพิ่มขึ้น และพฤติกรรม Pet Humanization ที่เจ้าของใส่ใจสัตว์เลี้ยงเสมือนสมาชิกในครอบครัว และพร้อมที่จะจ่ายเงินเพื่อซื้ออาหารสัตว์เลี้ยงที่มีคุณภาพสูง ตลอดจนความได้เปรียบทางด้านภาษีจากข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) กับตลาดส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงที่สำคัญบางประเทศ เช่น อาเซียน ญี่ปุ่น

อย่างไรก็ดี ยังมีหลายปัจจัยท้าทายที่ผู้ประกอบการจะต้องติดตาม ได้แก่ ราคาพลังงานที่สูงขึ้น และการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ที่ยังคงยืดเยื้อ ซึ่งส่งผลให้ต้นทุนการผลิตและการขนส่งสูงขึ้น รวมถึงการแข่งขันที่มีแนวโน้มรุนแรง โดยเฉพาะจากคู่แข่งอย่างเวียดนามที่เริ่มมีบทบาทในตลาดส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงมากขึ้น

นอกจากนี้ การจะเพิ่มส่วนแบ่งการตลาด ไทยจำเป็นต้องสร้างแบรนด์สินค้าของตัวเองให้มากขึ้น เนื่องจากประเทศคู่แข่งที่สำคัญ เช่น เยอรมนี สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส จะส่งออกแบรนด์ของตัวเองเป็นหลัก ซึ่งปัจจุบันผู้ประกอบการอาหารสัตว์เลี้ยงในไทยกว่า 80% รับจ้างผลิต (OEM) ให้แบรนด์ชั้นนำเพื่อขายในตลาดโลก ขณะที่ผลิตภายใต้แบรนด์ไทยมีเพียงแค่ 20% เท่านั้น

ดังนั้น เพื่อรักษาความได้เปรียบในการแข่งขัน ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ผู้ประกอบการไทยต้องพัฒนาและเร่งสร้างแบรนด์ รวมถึงอาจมุ่งเน้นไปที่กลุ่มอาหารสัตว์พรีเมี่ยมและสอดรับกับเทรนด์ในระยะข้างหน้า ที่สำคัญคือ การเตรียมการรองรับความต้องการของตลาดนำเข้าหลักทั่วโลกที่คงจะมีการกำหนดมาตรฐานการผลิตตลอดห่วงโซ่อุปทานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

เช่น การลดการปล่อยคาร์บอน (CO2) รวมถึงการตรวจสอบย้อนกลับแหล่งที่มาของวัตถุดิบ เป็นต้น นอกจากนี้ ยังควรพัฒนาสูตรอาหารที่เน้นเรื่องสุขภาพอนามัยของสัตว์เลี้ยง เนื่องจากเจ้าของสัตว์เลี้ยงหันมาใส่ใจต่อสุขภาพสัตว์มากขึ้น และสัตว์เลี้ยงมีแนวโน้มอายุยืนอาจทำให้มีปัญหาสุขภาพตามมา​

ที่มา ศูนย์วิจัยกสิกรไทย