ชี้ ไทยไม่ใช่ คนป่วยแห่งเอเชีย เผย 3 ปัจจัยทำเศรษฐกิจฟื้นตัวและเสี่ยงสะดุด

ชี้ ไทยไม่ใช่ คนป่วยแห่งเอเชีย เผย 3 ปัจจัยทำเศรษฐกิจฟื้นตัวและเสี่ยงสะดุด

ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย และที่ปรึกษาการลงทุน ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย เปิดเผยว่า สำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย ปรับประมาณการเศรษฐกิจปี 2564 จาก 0.4% เป็น 1.1% และปี 2565 จาก 3.2% เป็น 3.8% รับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยไตรมาสสามที่ดีกว่าคาด จากปัญหาอุปทานชะงักงันในโรงงานที่ไม่รุนแรงและกำลังคลี่คลาย และการควบคุมการระบาดโควิดในประเทศที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น พร้อมรับโอกาสทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นหลังการเปิดเมืองและเปิดรับการท่องเที่ยว

ทั้งนี้ นับจากปี 2563 เป็นต้นมา ท่ามกลางการระบาดของไวรัสโควิด-19 ทั่วโลก เศรษฐกิจไทยเผชิญภาวะถดถอย โตช้า ซึมยาว โดยในปี 2564 กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์ว่า GDP ไทยจะเติบโตต่ำสุดในอาเซียน เหนือเพียงประเทศเมียนมาที่มีปัญหาการเมืองที่รุนแรง ขณะที่ต่างประเทศเริ่มมองประเทศไทย เป็น “คนป่วยแห่งเอเชีย” ที่ต่างชาติเมินการลงทุน

ทั้งการลงทุนทางตรง (FDI) พิจารณาได้จากยอดการออกบัตรส่งเสริมฯ ที่มีเงินลงทุน 227,720 ล้านบาท จำนวน 936 โครงการในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2564  ลดลง 31% และ 10% จากช่วงเดียวกันปีก่อนตามลำดับ และการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่มีนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิรวม 63,399 ล้านบาทในช่วง 10 เดือนแรกของปี แต่ในความเป็นจริง เศรษฐกิจไทยยังมีศักยภาพ เพียงแต่รอปัจจัยที่เอื้ออำนวยและมาตรการภาครัฐที่สนับสนุนการเติบโตระยะยาวอย่างเต็มที่

เราจึงเปรียบเศรษฐกิจไทยปี 2565 ว่า เสมือนเสือโคร่ง ที่ซุ่มหมอบรอจังหวะพุ่งกระโจน ไม่ใช่เสือป่วยนอนหลับนิ่งอย่างที่ใครคิดกัน แต่ขณะเดียวกันต้องระวังให้ดี เพราะมีเสือร้ายอีกตัว คอยดักซุ่มขัดขวางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยปี 2565

อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยปี 2565 จะฟื้นตัวได้ดีกว่าปีนี้ต้องอาศัย 3 ปัจจัยสนับสนุน ดังนี้

ปัจจัยแรก คือ การส่งออก ที่คาดว่าจะเติบโตได้ 4.7% จากการฟื้นตัวต่อเนื่องในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์และชิ้นส่วน ผลิตภัณฑ์ยาง ปิโตรเคมี และกลุ่มอาหารแปรรูป ตามการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกและประเทศคู่ค้าสำคัญ หลังจากที่พลเมืองในหลายประเทศได้รับการฉีดวัคซีน มีการเปิดเมือง กิจกรรมทางเศรษฐกิจเริ่มเร่งขึ้นอีกครั้ง แม้จำนวนผู้ติดเชื้อรายวันยังเพิ่มขึ้น แต่จำนวนผู้เสียชีวิตอยู่ในระดับต่ำ

คาดว่าหลายประเทศในปีหน้า จะจำกัดการเคลื่อนย้ายคนเฉพาะกลุ่มคนที่ยังไม่ได้รับวัคซีนหรือมีปัญหาสุขภาพ แทนการล็อกดาวน์ ส่วนภาคการผลิตของไทยไม่ได้มีปัญหาห่วงโซ่อุปทานชะงักงันรุนแรง สามารถบริหารจัดการแรงงานที่ติดเชื้อโควิดและคัดแยกแรงงานกลุ่มเสี่ยงไม่ให้กระทบแรงงานส่วนใหญ่ได้ดี กำลังการผลิตเร่งขึ้นได้ต่อเนื่อง ซึ่งจะเป็นผลดีต่อทั้งภาคอุปสงค์และอุปทานด้านการส่งออกของไทยในปีหน้า

ปัจจัยที่สอง คือ การท่องเที่ยว ที่คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาราว 5.1 ล้านคน นับว่าฟื้นตัวดีขึ้นหลังการเปิดประเทศและลดข้อจำกัดด้านการกักตัวของนักท่องเที่ยว โดยคาดว่าส่วนใหญ่จะเป็นนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาจากกลุ่มประเทศที่เปิดรับนักท่องเที่ยวโดยไม่ต้องกักตัวเช่นกัน เพื่อลดความยุ่งยากหากนักท่องเที่ยวต้องกักตัวหลังเดินทางกลับจากไทย ประเทศเหล่านี้ประกอบด้วย สหรัฐ อังกฤษ เยอรมนี และกลุ่มยุโรปอื่นๆ กลุ่มตะวันออกกลาง และกลุ่มอาเซียน ยกเว้น จีน ที่เป็นตลาดนักท่องเที่ยวหลักของไทย

โดยก่อนโควิดในปี 2562 มีสัดส่วนสูงถึง 28% ของนักท่องเที่ยวทั้งหมดจะยังไม่กลับเข้ามาไทยมากนัก เราคาดว่าจะมีคนจีนเพียง 9% ของจำนวนนักท่องเที่ยว 5.1 ล้านคน เนื่องจากทางการจีนกังวลการแพร่ระบาดของโควิดในประเทศจึงยังไม่น่าจะเปิดให้มีการท่องเที่ยวระหว่างประเทศมากนัก การท่องเที่ยวน่าจะฟื้นตัวได้ดีช่วงครึ่งปีหลัง เพราะนักท่องเที่ยวต่างชาติ อาจรอให้พลเมืองไทยได้รับวัคซีนที่มีประสิทธิภาพอย่างเพียงพอและจำนวนผู้ติดเชื้อรายวันลดลงมากกว่านี้

ดังนั้น การเข้ามาของนักท่องเที่ยวช่วงครึ่งปีหลังจะเร่งให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวชัดเจนและกระจายตัวได้ดีขึ้น ส่งผลดีต่อกลุ่มผู้ประกอบการอิสระ กลุ่มแรงงานด้านบริการ และผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็ก กลุ่มอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว เช่น โรงแรม ร้านอาหาร ธุรกิจขนส่งผู้โดยสาร ค้าปลีก และอสังหาริมทรัพย์

ปัจจัยที่สาม คือ กำลังซื้อระดับกลาง-บน ที่เริ่มเห็นสัญญาณการใช้จ่ายหลังเปิดเมือง การที่ไทยไม่มีปัญหาการว่างงานสูง แต่คนระมัดระวังการใช้จ่ายเพราะขาดความเชื่อมั่นในความมั่นคงของงาน ดังนั้น เมื่อมีการเปิดเมือง กิจกรรมทางเศรษฐกิจเริ่มคึกคัก คนจะเริ่มจับจ่ายใช้สอย และนำเงินออมออกมาใช้มากขึ้น กลุ่มที่จะฟื้นตัวได้เร็ว ได้แก่ กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม ร้านอาหาร โรงแรมและกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวในประเทศอื่นๆ

โดยกลุ่มที่ฟื้นได้เร็วจะอยู่ในกลุ่มที่ผู้บริโภคสามารถลดค่าใช้จ่ายผ่านมาตรการภาครัฐที่คาดว่าจะยังคงมีต่อเนื่อง เช่น คนละครึ่ง ยิ่งใช้ยิ่งได้ และเราเที่ยวด้วยกัน และเมื่อความเชื่อมั่นฟื้นได้ดีขึ้นหลังจำนวนผู้ติดเชื้อลดลง การได้รับวัคซีนเข็ม 3 มีมากขึ้น คนจะกล้าซื้อของกลุ่มที่มีราคาสูงขึ้น เช่น เสื้อผ้า รองเท้า เฟอร์นิเจอร์ รถยนต์และรถจักรยานยนต์ แม้เศรษฐกิจไทยช่วงครึ่งปีแรกจะขับเคลื่อนด้วยการบริโภคจากกลุ่มกำลังซื้อกลาง-บนเป็นหลัก แต่เราเชื่อว่า หลังมีการกระจายวัคซีนที่ดีขึ้น จำนวนนักท่องเที่ยวเริ่มมากขึ้น กำลังซื้อระดับกลาง-ล่างจะเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น ประกอบกับราคาสินค้าเกษตรปีหน้ายังอยู่ระดับสูงและปริมาณน้ำที่มากกว่าปีนี้น่าจะสนับสนุนผลผลิตให้มากขึ้นและทำให้รายได้ภาคเกษตรสูงขึ้นปีหน้า

ดร.อมรเทพ บอกอีกว่า แม้เศรษฐกิจไทยปีหน้าจะพุ่งทะยานได้จาก 3 ปัจจัยเบื้องต้น แต่ก็มีความเสี่ยงที่เศรษฐกิจไทยจะสะดุดจาก 3 ปัจจัยเสี่ยง ต่อไปนี้

ปัจจัยแรก คือ การระบาดของโควิดรอบใหม่ ทั้งในไทยและประเทศคู่ค้าสำคัญ ที่จะกระทบกำลังซื้อของคนในประเทศ การส่งออกและการท่องเที่ยว แม้ไทยและอีกหลายประเทศ จะไม่ล็อกดาวน์ แต่จะกระทบความเชื่อมั่น การบริโภค และกระทบห่วงโซ่อุปทานให้ภาคการผลิตหยุดชะงักได้

ปัจจัยที่สอง คือ สงครามการค้า ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐและจีนยังคงดำเนินต่อไปในปี 2565 ถ้าปัญหาดังกล่าวทวีความรุนแรงขึ้น บรรยากาศการค้าโลกรวมทั้งความต้องการสินค้าจากไทยไปจีนและอาเซียน จะได้รับผลกระทบดังเช่นในอดีต แม้ไทยจะยังสามารถส่งออกสินค้าไปสหรัฐได้ดี แต่ก็ไม่น่าจะชดเชยการส่งออกที่ลดลงในภูมิภาคได้

และ ปัจจัยที่สาม คือ ปัญหาเงินเฟ้อ หรือค่าครองชีพของคนไทยที่สูงขึ้นจากราคาน้ำมัน อาหารสด และต้นทุนภาคการผลิตอื่นๆ แม้เงินเฟ้อปีหน้า คาดว่าจะอยู่ที่ราว 1.9% และราคาน้ำมันดิบเบรนท์เฉลี่ยที่ 67 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล แต่หากเกิดปัญหาอุปทานชะงักงันในภาคการผลิตในจีน หรือราคาวัตถุดิบอื่นๆ พุ่งขึ้นเร็ว อัตราเงินเฟ้อของไทยอาจเร่งขึ้นได้อีก ซึ่งราคาสินค้าที่สูง จะกระทบกำลังซื้อของคนรายได้น้อยมากกว่าคนรายได้สูง เพราะคนรายได้น้อยมีสัดส่วนการบริโภคต่อรายได้สูง แปลว่า มีเงินเท่าใดก็ต้องนำไปใช้จ่ายแทบทั้งหมด

เมื่อรายได้โตไม่ทันรายจ่าย ภาระหนี้จะเพิ่มขึ้นหรือคนจะต้องยิ่งประหยัดหรือลดการบริโภคลง และขาดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ แนวทางแก้ปัญหาเงินเฟ้อ น่าจะอยู่ที่มาตรการทางการคลัง ด้วยการลดค่าครองชีพผู้มีรายได้น้อย แต่ไม่น่าจะเป็นการหว่านแห ด้วยการลดราคาสินค้าหรือใช้เงินรัฐในการอุดหนุนทุกอย่าง เนื่องจากเมื่อเศรษฐกิจฟื้น กำลังซื้อคนระดับกลาง-บนดีขึ้น รัฐบาลน่าจะสามารถเยียวยาเฉพาะกลุ่มที่ยังไม่ฟื้นได้