ผู้เขียน | เส้นทางเศรษฐีออนไลน์ |
---|---|
เผยแพร่ |
ล็อกดาวน์ ต้อง ไม่ล็อกทิพย์ ล็อกดาวน์ แบบไหนคนถึงจะ ไม่น็อก
คณาจารย์สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประกอบด้วย ผศ.ดร.ชนวีร์ สุภัทรเกียรติ ผศ.ดร.ภัทเรก ศรโชติ และ ผศ.ดร.ปิยะชาติ ภิรมย์สวัสดิ์ ร่วมกันให้ข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์โควิด-19 ผ่านบทความ ในหัวข้อ วิกฤตโควิด-19 ในประเทศไทย : เราจะเลือกหนักไปหาเบา หรือ เบาไปหา(อาการ)หนัก มีสาระสำคัญน่าสนใจ ระบุว่า การระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในประเทศไทยในขณะนี้ เข้าขั้นวิกฤตแล้ว คำถามสำคัญ ที่ทุกคนต้องการได้คำตอบอย่างเร่งด่วน คือ รัฐจะมีมาตรการในการรับมือกับสถานการณ์วิกฤตนี้อย่างไร
บทความดังกล่าว จากคณะนักวิชาการจากศศินทร์ฯ จึงนำเสนอข้อมูลและงานวิจัยที่เกี่ยวกับมาตรการต่างๆ ที่รัฐบาลทั่วโลก เคยใช้ในการรับมือกับการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่จะทำให้เข้าใจว่าการรับมือกับการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในขั้นวิกฤตของประเทศไทยนั้น ควรคำนึงถึงมาตรการใดและมีวิธีการเยียวยาอย่างไรบ้าง
โดยระบุตอนหนึ่งว่า มาตรการที่รัฐบาลในประเทศต่างๆ นำมาใช้ในการควบคุมการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 นั้นมีอยู่หลายมาตรการ และมีผลต่อประสิทธิภาพในการควบคุมการระบาดแตกต่างกัน โดยพบว่า มาตรการที่เน้นการเว้นระยะห่างทางสังคม การห้ามรวมกลุ่มของประชาชนที่เข้มข้น (เช่น ห้ามรวมกลุ่มเกิน 10 คน) การควบคุมการเดินทาง การปิดสถานศึกษา การปิดชายแดน และ การปิดธุรกิจส่วนใหญ่ยกเว้นแต่ที่มีความจำเป็นจริงๆ ให้ผลต่อการควบคุมการระบาดได้อย่างมีประสิทธิภาพและควบคุมได้รวดเร็วที่สุดในหลายประเทศ

ซึ่งมาตรการที่ได้ผลดีที่สุดในหลายประเทศ คือ การห้ามการรวมกลุ่มของประชาชนที่เข้มข้น ดังนั้น ในภาวะวิกฤตของไทยนี้ ควรจะจำกัดการรวมกลุ่มในกิจกรรมที่ไม่จำเป็นไม่ให้เกิน 2 คน เหมือนที่เวียดนามกำลังทำอยู่ในขณะนี้เป็นเวลา 14 วัน เพราะจะทำให้การระบาดลดลงได้อย่างรวดเร็วที่สุด
อย่างไรก็ตาม แม้ว่ามาตรการข้างต้นจะมีประสิทธิภาพสูงในการลดการระบาด แต่ก็มีผลกระทบในด้านเศรษฐกิจและทางสังคมอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อกลุ่มเปราะบาง และ กลุ่มแรงงานหาเช้ากินค่ำ ดังนั้น รัฐควรต้องคำนึงถึงมาตรการเสริมอื่นๆ ด้วย อาทิ การแจกจ่ายอาหาร วันละ 3 มื้อ เพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบแก่ประชาชนที่ต้องตกงาน
โดยรัฐ สามารถรับสมัครร้านอาหาร เข้าร่วมโครงการทำอาหารแจกจ่ายให้แก่ประชาชนโดยงบประมาณของรัฐ ซึ่งร้านอาหารเหล่านี้ก็เป็นกลุ่มธุรกิจที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการระบาดอยู่แล้ว ซึ่งจะเป็นการต่ออายุธุรกิจร้านอาหาร เหมือนเป็นการ ยิงปืนนัดเดียว ได้นกสองตัว
“งบประมาณ ตามโครงการที่เสนอไปข้างต้น ไม่น่าจะมากกว่างบประมาณในโครงการเยียวยาอื่นๆ ที่รัฐเคยทำ เช่น หากมีประชาชนรับอาหารประมาณ 10 ล้านคนต่อมื้อ ในกรณีล็อกดาวน์ 14 วัน จะต้องมีค่าใช้จ่ายประมาณ 12,600 ล้านบาท (โดยคำนวณจากค่าอาหารมื้อละ 30 บาท) ส่วนวิธีการเบิกจ่าย ร้านอาหารที่เข้าร่วมโครงการสามารถใช้ระบบของโครงการคนละครึ่ง ที่รัฐบาลมีอยู่แล้ว ส่วนกรณีที่ประชาชนที่ไม่มีโทรศัพท์มือถือ ก็ให้รัฐมีมาตรการรองรับที่เหมาะสม อาทิ การเหมาจ่ายโดยคาดประมาณจำนวนประชาชนที่ไม่มีโทรศัพท์มือถือที่มารับอาหาร นอกจากนี้ การรับอาหารต้องมีการเว้นระยะห่างอย่างเหมาะสม เพื่อป้องกันการระบาด” นักวิชาการศศินทร์ฯ ระบุ
คณะนักวิชาการศศินทร์ฯ ระบุอีกว่า ที่ผ่านมาเห็นได้ชัด มาตรการควบคุมหลายมาตรการของประเทศไทย ไม่มีประสิทธิภาพอย่างแท้จริง ตัวอย่างชัด ได้แก่ การเกิดการลักลอบนำแรงงานต่างชาติเข้าประเทศโดยไม่ผ่านจุดคัดกรองและกักตัว และเป็นที่น่าสังเกตว่าหลายประเทศ อย่าง จีน สามารถควบคุมการระบาดได้ดี ทั้งที่มีพรมแดนธรรมชาติที่ยาวและยากต่อการควบคุมเป็นอย่างมาก สาเหตุหลักน่าจะเป็นเพราะ จีน มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในมาตรการควบคุมการระบาดของไวรัสโควิด-19
ดังนั้น แม้ประชาชนส่วนใหญ่จะปฏิบัติตามมาตรการควบคุมต่างๆ อย่างเคร่งครัด แต่การกระทำของคนส่วนน้อย ที่ไม่เคารพมาตรการควบคุมต่างๆ สามารถเป็น ชนวนไฟการระบาด ทำให้ลุกลามเป็นไฟป่า เผาประเทศได้ ดังนั้น วิธีป้องกัน คือ การออกกฎหมายชั่วคราวที่เข้มข้นและเพิ่มโทษคนที่ละเมิดกฎหมายและมาตรการที่รัฐกำหนด