สำรวจพื้นที่นำร่อง 10 จังหวัด ตั้งเป้าหมายคนจน 1.3 แสน แต่พบจนจริง 3.5 แสน

สำรวจพื้นที่นำร่อง 10 จังหวัด ตั้งเป้าหมายคนจน 1.3 แสน แต่พบจนจริง 3.5 แสน
สำรวจพื้นที่นำร่อง 10 จังหวัด ตั้งเป้าหมายคนจน 1.3 แสน แต่พบจนจริง 3.5 แสน

สำรวจพื้นที่นำร่อง 10 จังหวัด ตั้งเป้าหมายคนจน 1.3 แสน แต่พบจนจริง 3.5 แสน

ดร.กิตติ สัจจาวัฒนา ผู้อำนวยการหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) รายงานผลการดำเนินงานของ บพท. ในปี 2563 ต่อที่ประชุมคณะกรรมการอำนวยการ สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรมแห่งชาติ (กอวช.) โดยมี ศ.พิเศษ ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) เป็นประธาน ว่า บพท. ออกแบบกระบวนการทำงานอย่างมีส่วนร่วม เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์อย่างมีรูปธรรม โดยมีกระบวนการที่เป็นการถ่ายทอดความรู้ของการจัดการทุนวิจัยเพื่อการพัฒนาพื้นที่

โดยในปี 2563 ได้ดำเนินงานตามแผนด้านวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม ในแพลตฟอร์มการวิจัยและสร้างนวัตกรรมเพื่อการพัฒนาเชิงพื้นที่และลดความเหลื่อมล้ำใน 4 ข้อ คือ 1. นวัตกรรมสำหรับเศรษฐกิจฐานรากและชุมชนนวัตกรรม โดยจัดทำแผนงานชุมชนนวัตกรรมเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน และแผนงานมหาวิทยาลัยเพื่อการพัฒนาพื้นที่ 2. ขจัดความยากจนแบบเบ็ดเสร็จและแม่นยำ 3. เมืองน่าอยู่และการกระจายศูนย์กลางความเจริญ โดยการจัดทำแผนงานพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา 4. การแก้ไขปัญหาวิกฤตของประเทศ โดยจัดทำแผนงานการแก้ปัญหาวิกฤตของประเทศ

ดร.กิตติ กล่าวว่า บพท. ได้รับการจัดสรรงบประมาณ จากกองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม จำนวน 664.21 ล้านบาท โดยเป็นการสนับสนุนทุนวิจัยและนวัตกรรม จำนวน 651.21 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 98.04 ของงบประมาณที่ได้รับ โดยมีหน่วยงานที่ได้รับการจัดสรรทุนวิจัย จำนวน 46 แห่ง โครงการที่ได้รับจัดสรรฯ 88 โครงการ กระจายทุกพื้นที่ทั่วประเทศ โดยได้ยกตัวอย่างโครงการที่กำลังดำเนินการ อาทิ การวิจัยและนวัตกรรมเพื่อแก้ปัญหาความยากจนอย่างเบ็ดเสร็จและแม่นยำ โดยทำงานร่วมกับมหาวิทยาลัยในพื้นที่ กระจายกำลังค้นหาคนจนจริงที่ไม่อยู่ในระบบให้เข้าสู่ระบบ และแยกคนจนไม่จริงหรือพ้นความยากจน ออกจากระบบ

ดร.กิตติ สัจจาวัฒนา ผู้อำนวยการหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.)

สอบทานข้อมูลกับกลไกและแผนพัฒนาจังหวัดเพื่อแก้ปัญหาความยากจน โดยแบ่งเป็นคนจนสองประเภทคือ 1. คนจนหนี้สิน จะใช้งานวิจัยและนวัตกรรม โมเดลธุรกิจ (Business Model) ของหน่วยงานต่างๆ อาทิ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร เป็นต้น เพื่อเข้าไปหนุนเสริม กระบวนการเรียนรู้ผ่านการสร้าง Learning Platform ให้สามารถประกอบอาชีพ มีรายได้และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น 2. คนจนยากไร้ จะประสานและส่งต่อระบบการช่วยเหลือ ระบบสงเคราะห์ของทั้งภาครัฐและเอกชน ทั้งการดำรงชีพ ที่อยู่อาศัย การศึกษา และสุขภาพ เชื่อมโยงข้อมูลกับหน่วยงานต่างๆ อาทิ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน เป็นต้น

“จากการสำรวจอย่างละเอียดในพื้นที่จังหวัดนำร่องยากจน 10 จังหวัด ได้แก่ แม่ฮ่องสอน, อำนาจเจริญ, สุรินทร์, ชัยนาท, ยโสธร, ศรีสะเกษ, สกลนคร, มุกดาหาร, กาฬสินธุ์ และ ปัตตานี โดยมีคนจนเป้าหมายจำนวน 131,040 คน เมื่อสำรวจพบคนยากจนจริงจำนวน 352,991 คน จากนั้นได้ส่งต่อข้อมูลไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่เพื่อประสานขอรับการช่วยเหลือทั้งเรื่องของการดำรงชีพ ที่อยู่อาศัย การศึกษา และสุขภาพ และในปี 2564 จะลงสำรวจในพื้นที่เป้าหมายเพิ่มอีก 10 จังหวัด ได้แก่ ลำปาง, เลย, พิษณุโลก, ร้อยเอ็ด, นครราชสีมา, พัทลุง, อุบลราชธานี, บุรีรัมย์, ยะลา และ นราธิวาส โดยมีคนจนเป้าหมายจำนวน 205,199 คน” ดร.กิตติ กล่าว

ผู้อำนวยการ บพท. กล่าวด้วยว่า ด้วยเป้าหมายเพื่อขจัดความยากจนแบบตรงจุด นอกจากจะค้นหาคนยากจนจริงในพื้นที่แบบละเอียดแล้ว สิ่งที่ต้องดำเนินการควบคู่กันไปคือ การพัฒนาขีดความสามารถของผู้ประกอบการในพื้นที่ บนฐานทรัพยากรพื้นถิ่น เพื่อสร้างเศรษฐกิจฐานรากและเศรษฐกิจหมุนเวียนในพื้นที่ โดยการเสริมบทบาทของมหาวิทยาลัย สถาบันอุดมศึกษาให้เป็นโครงสร้างความรู้ กำลังคนในการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากและเศรษฐกิจชุมชนระยะยาว ผ่านการยกระดับและพัฒนาขีดความสามารถของผู้ประกอบการในพื้นที่เป้าหมาย กระจายรายได้ที่เป็นธรรมสู่กลุ่มผู้ผลิตหรือเกษตรกรต้นน้ำและคนในชุมชน