ครม. เคาะ เพิ่มเงิน เราชนะ-ม.33 เรารักกัน-แจก E-Voucher สูงสุดไม่เกิน 7 พัน

ครม. เคาะ เพิ่มเงิน เราชนะ-ม.33 เรารักกัน-แจก E-Voucher สูงสุดไม่เกิน 7 พัน
ครม. เคาะ เพิ่มเงิน เราชนะ-ม.33 เรารักกัน-แจก E-Voucher สูงสุดไม่เกิน 7 พัน

ครม. เคาะ เพิ่มเงิน เราชนะ-ม.33 เรารักกัน-แจก E-Voucher สูงสุดไม่เกิน 7 พัน

เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม แหล่งข่าวจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) แจ้งว่า ที่ประชุม ครม. เห็นชอบมาตรการช่วยเหลือประชาชนในระยะเร่งด่วน โครงการ “เราชนะ” จำนวนกลุ่มเป้าหมาย 32.9 ล้านคน เพิ่มอีกสัปดาห์ละ 1,000 บาท ระยะเวลา 2 สัปดาห์ วงเงิน 6.7 หมื่นล้านบาท โดยให้การใช้จ่ายสิ้นสุดในวันที่ 30 มิถุนายนนี้

นอกจากนี้ โครงการ “ม.33 เรารักกัน” จำนวนกลุ่มเป้าหมาย 9.27 ล้านคน เพิ่มวงเงินช่วยเหลือผู้ประกันตนมาตรา 33 อีกสัปดาห์ละ 1,000 บาท ระยะเวลา 2 สัปดาห์ วงเงินรวม 18,500 ล้านบาท ให้ใช้จ่ายสิ้นสุดในวันที่ 30 มิถุนายนนี้

แหล่งข่าวกล่าวอีกว่า สำหรับมาตรการในระยะต่อไป เมื่อสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายลง กรอบวงเงินเบื้องต้น 1.4 แสนล้านบาท โดยใช้เงินจาก พ.ร.ก.เงินกู้ฯ ที่เหลืออยู่ ได้แก่

1. มาตรการลดภาระค่าครองชีพให้แก่ประชาชน ในกลุ่มที่ต้องการความช่วยเหลือจากภาครัฐอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้กับผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ระยะที่ 3 จำนวน 13.65 ล้านคน

โดยให้เงินค่าครองชีพแก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเพิ่มเติมเดือนละ 200 บาท ระยะเวลา 6 เดือน (กรกฎาคม-ธันวาคม) และเพิ่มกำลังซื้อให้กับผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นกรณีพิเศษจำนวนเป้าหมาย 2.4 ล้านคน เพิ่มเติมเดือนละ 200 บาท เป็นระยะเวลา 6 เดือน (กรกฎาคม-ธันวาคม)

และ 2. มาตรการเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดโควิด-19 โดยให้ความสำคัญกับการกระตุ้นกำลังซื้อของประชาชนกลุ่มรายได้ปานกลาง และรายได้สูง ได้แก่ มาตรการ “คนละครึ่ง” ระยะที่ 3 ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมาย 31 ล้านคน ให้สิทธิใช้จ่ายที่รัฐจะสมทบได้วันละไม่เกิน 150 บาท วงเงินคนละ 3,000 บาทต่อคน

นอกจากนี้ ยังมี “โครงการยิ่งใช้ยิ่งดี” โดยรัฐสนับสนุน E-Voucher ให้ประชาชน ที่ใช้จ่ายซื้อสินค้า ค่าอาหารเครื่องดื่ม และค่าบริการ กับผู้ประกอบการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มไม่เกิน 5,000 บาทต่อคนต่อวัน สูงสุดไม่เกิน 7,000 บาทต่อคน โดยประชาชนที่ใช้จ่ายจะได้รับการสนับสนุน E-Voucher จากภาครัฐในช่วงเดือนกรกฎาคม-กันยายนนี้ และสามารถใช้จ่ายในเดือนสิงหาคม-ธันวาคม 2564 คาดว่าประชาชนจะเข้าโครงการประมาณ 31 ล้านคน

ที่มา มติชนออนไลน์