คนกินเท่าเดิม! ห้ามนั่งทานในร้าน ทำแข่งขัน ดีลิเวอรี่ สูง แม่ค้าชี้ ร้านเล็กๆ ควรมีพื้นที่โปรโมต

คุณชูก้า-นงนภัส บังศรี วัย 25 ปี แม่ค้าสาวผู้หันมาขายข้าวกะเพราไก่ 25 บาท ในยุคที่เศรษฐกิจสุดแสนจะฝืดเคืองแบบนี้ โดยเธอเล่าให้ เส้นทางเศรษฐีออนไลน์ ฟังว่า ก่อนมาทำอาหารขายออนไลน์ เธอเคยทำงานเป็นเซลส์ขายเครื่องสำอางมาก่อน ซึ่งอาชีพนี้ ถือเป็นอาชีพที่ทำเงินได้ดีในระดับหนึ่ง แต่ต้องลาออกเพราะรับแรงกดดันจากการทำงานไม่ไหว จนโรคซึมเศร้ากำเริบ ทั้งๆ ที่เป็นงานที่ดีและเธอก็มีความสุขในการทำมากๆ

เมื่อลาออกมาก็มองหาอาชีพทำ จนมาลงล็อกที่การทำอาหารคลีนขายแบบดีลิเวอรี่มาเกือบปี ด้วยความเพิ่งลองทำกิจการเองครั้งแรก จึงคำนวณต้นทุนกับราคาขายไม่ค่อยดี คือต้นทุนสูง แต่ขายราคาถูก ร้านนั้นก็เลยขาดทุนไป แต่เธอก็ยังไม่ยอมแพ้ หันมาขายอาหารตามสั่งโดยเน้นดีลิเวอรี่เช่นเดิม แต่เมื่อสถานการณ์โควิด-19 มาเยือน กิจการที่กำลังไปด้วยดี แต่ก็พานได้รับผลกระทบไปด้วย

“ช่วงนี้เห็นคนโดนโควิดเล่นงานเยอะ ร้านค้ากิจการบางร้านต้องปิดชั่วคราว ร้านไหนเปิด ลูกจ้างก็ถูกลดเงินเดือนลง ทางเราเองก็เริ่มได้รับผลกระทบนิดหน่อย คือขายอาหารได้จำนวนลดลง เพราะไม่สามารถเข้าถึงลูกค้าบางกลุ่มได้ เรียกว่าบางวันก็ไม่มีคนสั่งอาหารเลยด้วยซ้ำ แล้วก่อนหน้านี้เพิ่งเริ่มกิจการใหม่ไปค่ะ คือเป็นข้าวหมูกรอบซอสกะเพรา เพิ่งเริ่มได้ไม่นานก็มาเจอโควิด ก็เห็นแล้วแหละว่ายอดสั่งเริ่มน้อยลง จากเคยมี บางวันก็ไม่มี”

“แต่เราซื้อของสต๊อกไว้ปกติ แค่จำนวนน้อยลงตามการประเมินยอดซื้อในแต่ละวัน พอมีออร์เดอร์เข้ามาถึงจะทำ ถ้าตอนเช้าขายไม่ได้ เราก็จะเปิดรอบเย็นเพิ่มอีก บวกกับว่าแฟนเพิ่งเริ่มทำงานประจำได้ไม่นาน แล้วงานประจำเขาก็ได้รับผลกระทบ ทำให้ต้องปิดกิจการชั่วคราว แฟนก็ถูกลดเงินจ้างลง เราก็เลยคิดว่า หลายๆ ที่เขาก็คงโดนไม่ต่างกันกับแฟนแน่ๆ ก็เลยคิดว่า งั้นถ้าเรายังอยากขายอาหารอยู่ ก็จะต้องปรับตัวไปตามสถานการณ์​ให้ได้ ก็เลยได้ลองคิดเรื่องการปรับลดราคาอาหารลงมาน่ะค่ะ” คุณชูก้า ว่าอย่างนั้น

เมื่อตัดสินใจจะปรับลดราคาอาหารลง คุณชูก้าจึงปักธงราคาอาหารไว้ในใจ จากนั้นจึงชวนแฟนหนุ่มไปเดินดูราคาวัตถุดิบทั้งในตลาดและห้างใหญ่ เอาราคามาเปรียบเทียบกัน แล้วจึงกลับมาคำนวณต้นทุน ว่าอยู่ในเกณฑ์ราคาที่เราตั้งไว้ในใจหรือไม่ เมื่อต้นทุนอยู่ในเกณฑ์ที่ตั้งไว้ จึงทำการเคาะเลยว่า เมนูแรกที่จะลองทำขายดู คือข้าวกะเพราไก่ในราคา 25 บาท

“เหตุผลที่เลือกเมนูนี้คือ ชูคิดว่ามันเข้าถึงคนได้ง่าย เพราะเวลาเรากินข้าว ถ้าคิดอะไรไม่ออก บางคนก็งั้นกินกะเพราละกัน ก็เลยเลือกกะเพราไก่ เรียกได้ว่าเมนูนี้เพิ่งมาทำช่วงโควิดนี้เลยค่ะ จริงๆ ก่อนเกิดโควิดรอบ 3 รายได้เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 18,000-30,000 บาท แต่ตอนนี้ก็ลดลงจนตอนนี้กลายเป็นเราต้องปรับตัวตามสถานการณ์รายวันแล้ว”

“บอกตรงๆ ว่า เหนื่อยค่ะ เพราะพอคนได้รับผลกระทบจากโควิด ก็มีบางส่วนหันมาทำอาหารดีลิเวอรี่ขายเหมือนกัน กลายเป็นมีคนขายเยอะขึ้น แต่คนซื้อเท่าเดิม เท่ากับการแข่งขันในตลาดก็สูงขึ้น เราก็ต้องขยันโพสต์ขายมากขึ้น หาตลาดใหม่ๆ ที่จะขายเพิ่ม แต่ก็อย่างที่บอกข้างต้นน่ะค่ะ ลูกค้าเท่าเดิม แต่การแข่งขันในตลาดสูงขึ้น ลูกค้าก็มีทางเลือกหลากหลายขึ้น เราก็ต้องไปแข่งขันกับเจ้าอื่นเขา บางเจ้าส่งได้เร็วกว่าเวลาที่เราส่งในช่วงมื้อกลางวัน เราก็ปรับตัวด้วยการเพิ่มรอบส่ง ไปส่งในรอบบ่ายและรอบเย็น ที่เจ้าอื่นๆ เขาไม่ได้ส่งแบบนี้”

แต่อุปสรรคในการค้าขายก็ยังไม่จบเพียงเท่านั้น เพราะหลังจากที่รัฐ มีมาตรการห้ามนั่งทานอาหารในร้านอาหาร แม้คุณชูก้าจะขายแบบดีลิเวอรี่ แต่ก็ได้รับผลกระทบเฉกเช่นเดียวกัน โดยเธอบอกว่า มาตรการที่รัฐออกมาคราวนี้ มีผลกระทบโดยตรงคือ ทำให้มีคู่แข่งในตลาดดีลิเวอรี่เพิ่มขึ้น

“มันทำให้เครียดนะเวลาเห็นร้านอื่นขายได้เยอะๆ แต่ข้อดีคือ มันเหมือนเราได้ challenge ตัวเองตลอดเวลาว่าแบบ แล้วเราจะต้องทำยังไงเพื่อให้ได้ลูกค้าหรือยอดขายเยอะๆ แบบเขา มองให้มันเป็นความท้าทายไป เพราะถ้ามองมันในมุมที่เครียด มันอาจจะทำให้เราท้อก็ได้ ถ้ามีพื้นที่ให้เราได้โปรโมตร้านให้เป็นที่รู้จักมากขึ้นก็ดีค่ะ”

คุณชูก้า ยังบอกอีกว่า เมื่อตอนเราชนะ ในเว็บมันจะสามารถดูได้ว่าร้านไหนเข้าร่วมโครงการบ้าง หากเป็นร้านที่คนรู้จักทั่วไปอยู่แล้วก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่บางร้านคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันคือร้านที่ขายอะไร เพราะตัวข้อมูลไม่ได้บอกอะไรแก่ผู้บริโภคมากนัก นอกจากชื่อและที่อยู่ร้าน เธอเลยว่ามันคงดี ถ้ามีพื้นที่ให้ร้านค้าเล็กๆ ได้ลงรายละเอียดข้อมูล รูป สินค้าที่จะขาย ราคา เพื่อที่ว่าเป็นการช่วยทำให้คนรู้จักร้านค้าเล็กๆ มากขึ้น อีกทางหนึ่ง