สถานบันเทิงดัง ยังไม่ถอดใจ ควักเนื้อ เดือนละหลายแสน ดูแลลูกน้อง

คุณโอ๊ต -อติชน เสงี่ยมเนตร เจ้าของกิจการ แฮปปี้ เบิร์ธ เดย์ มิวสิค ทาวน์ สถานบันเทิงยามค่ำคืน ชื่อดังย่านถนนสุคนธสวัสดิ์ ให้สัมภาษณ์ เส้นทางเศรษฐีออนไลน์ กรณีคำสั่งปิดสถานบันเทิง อย่างน้อย 14 วัน ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ที่กำลังจะมาถึง เพื่อควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19  ว่า ลูกค้าเป้าหมายกิจการของเขา ไม่ใช่กลุ่มวัยรุ่น แต่เป็นกลุ่มผู้ใหญ่ อายุ 40-65 ปี อาจไม่ได้มีพฤติกรรมใกล้ชิดกัน  จนเกิดการระบาดของโควิด เหมือนย่านทองหล่อ แต่ขึ้นชื่อเป็นสถานบันเทิง คงถูกเหมารวมและต้องปฏิบัติตามคำสั่งปิด ดังกล่าวไปด้วย

“โควิด ระลอกนี้ เกิดจากสถานบันเทิงเต็มๆ ทุกคนเลยเพ่งเล็งไปทุกแห่ง เมื่อปีที่แล้วร้านผมต้องปิด 7 เดือน เปิดได้ 5 เดือน พอปีนี้เปิดได้ไม่กี่เดือน ถูกสั่งให้ปิดอีกแล้ว และไม่รู้จะปิดอีกกี่เดือน โชคดีที่ไม่ได้ทำธุรกิจสถานบันเทิงอย่างเดียว และก่อนหน้านี้ หันมาทำอาหารดีลิเวอรี่ ไม่งั้นลูกน้องคงตายกันหมด” คุณโอ๊ต เผยให้ฟัง

ก่อนเล่าต่อ ธุรกิจหลักของเขาคือ รับเหมาก่อสร้าง แต่มีใจรักด้านดนตรี เลยลงทุนเปิดแฮปปี้ เบิร์ธ เดย์ มิวสิค ทาวน์ เมื่อราว 5-6 ปีก่อน สาขาแรกอยู่ย่านวัชรพล มี 10 โต๊ะ จากนั้นขยับขยายมาตั้งทำเลปัจจุบัน รองรับลูกค้าได้ราว 40 โต๊ะ มีวงดนตรี 3 ชิ้น และ วงใหญ่ 8 ชิ้น ขับกล่อมบทเพลงยุค 70, 80 และ สไตล์แจ๊ส ทุกค่ำคืน

“ร้านผม น่าจะเหลือแห่งเดียวในประเทศไทย ที่มีวงดนตรี 8 ชิ้น เล่นอยู่  ช่วงที่ร้านปิดเพราะโควิด นักดนตรี น่าสงสารมาก พวกเขามีรายได้ทางเดียว เล่นดนตรีตั้งแต่หนุ่มจนแก่ ไม่มีอาชีพอื่น หลายคนเดือดร้อน ต้องขายสมบัติเก่ากันระนาว ทุกคนลำบากกันหมด ผมช่วยลูกน้องได้บ้าง แต่ก็ไม่ทั้งหมด” คุณโอ๊ต เล่าอย่างนั้น

เมื่อถามถึงแนวทางเปิดร้านถึงสามทุ่ม และไม่จำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ คุณโอ๊ต บอกยิ้มๆ เป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติ  ร้านของเขาแม้จะขายอาหาร แต่ไม่ใช่ร้านอาหารโดยตรง ไม่มีใครมาทานข้าวที่ร้านแบบนี้หรอก แล้วจะให้ขายน้ำส้ม นมสด คงไม่เวิร์ก เพราะลูกค้าที่มาพวกเขาต้องการมาดื่ม มีกับแกล้มบ้าง ส่วนนักดนตรี จะให้เล่นยังไง มาถึงร้านสองทุ่ม สามทุ่ม ร้านต้องปิดแล้ว

“โควิดระลอก 3  มาอีก ก็ยังไม่ถอดใจ เพราะทำธุรกิจนี้ด้วยใจรัก แม้ที่ผ่านมาต้องควักเนื้อ 2-3 แสนบาท ทุกเดือน เพื่อดูแลลูกน้อง ทั้ง นักดนตรี เด็กเสิร์ฟ พ่อครัว” คุณโอ๊ต บอกจริงจัง

มีอะไรอยากฝากถึงรัฐบาล คุณโอ๊ตนึกครู่หนึ่ง ก่อนบอก

“เข้าใจเขานะ ถ้าผมเป็นนายกฯ ถ้ามีสตางค์ คงยินดีช่วยเหลือทุกคน แต่ตอนนี้คงไม่รู้จะเอาสตางค์มาจากไหน เลยต้องหากลยุทธ์อื่นๆ คือ ถ้าสั่งล็อกดาวน์ รัฐอาจต้องมีมาตรการชดเชย อย่าง ลดภาษี ปลอดภาษี เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ แต่นี่ไม่เคยเห็นสัญญาณช่วยเหลืออะไรเหล่านี้ออกมาเลย”

และว่า ส่งท้าย

“สถานบันเทิง เป็นธุรกิจท้ายๆ ที่ภาครัฐจะเข้ามาช่วยเหลือ เพราะเป็นธุรกิจที่ไม่อยู่ในปัจจัยสี่ พวกเราจึงเป็นธุรกิจกลุ่มท้ายๆ ที่รัฐจะมาดูแล”