เผยแพร่ |
---|
เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 6 ธ.ค. สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ โดยรถยนต์พระที่นั่งจากพระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต เพื่อทรงบำเพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุปทาน เป็นวันที่ 2 เนื่องในวันคล้ายวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช 5 ธันวาคม พุทธศักราช 2559 โดยรถยนต์พระที่นั่งเข้าทางประตูศักดิ์ไชยสิทธิ์ ซึ่งอยู่ด้านทิศตะวันตก ของพระบรมมหาราชวัง ไปยังพระที่นั่งไพศาลทักษิณ ในการนี้ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พร้อมพระบรมวงศานุวงศ์ คณะองคมนตรี คณะรัฐมนตรี คณะตุลาการ คณะสมาชิกสภานิติบัญญัติ ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ และคณะทูตานุทูต เฝ้าฯ รับเสด็จ
จากนั้น สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงจุดธูปเทียนบูชาพระสยามเทวาธิราช แล้วเสด็จออกพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ทรงพระทวารเทวาราชมเหศวร ทรงจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการบูชาพระพุทธรูปประจำพระชนมวารของพระบาทสมเด็จพระปรมิทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่ประดิษฐานในพระที่นั่งบุษบกมาลา แล้วทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยและเครื่องราชสักการะ กราถวายบังคมพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งประดิษฐานเหนือพระราชบัลลังก์ภายใต้นพปฎลมหาเศวตฉัตร พระสงฆ์ 30 รูปถวายพรพระ จบ ทรงประเคนภัตตาหาร พระสงฆ์รับพระราชทานฉันเสร็จแล้ว เจ้าพนักงานนิมนต์พระพรหมมุนี วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ที่จะถวายพระธรรมเทศนาขึ้นนั่งบนธรรมาสน์ ทรงจุดธูปเทียนเครื่องทรงธรรม พระพรหมมุนี ถวายศีลและถวายพระธรรมเทศนากัณฑ์ 1 จบ ทรงประเคนจตุปัจจัยไทยธรรมบูชากัณฑ์เทศน์และทรงทอดผ้าไตรพระสงฆ์ทั้งนั้นสดับปกรณ์ ถวายอนุโมทนา ถวายอดิเรก ถวายพรพระพรลา เสด็จพระราชดำเนินกลับ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลอดเส้นทางพระบรมศานุวงศ์เสด็จพระราชดำเนินผ่าน มีพสกนิกรเดินทางมาจับจองพื้นที่เพื่อเฝ้ารับเสด็จฯ โดยนำพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร และพระบรมศานุวงศ์มาไว้แนบอกด้วย
ขณะที่บรรยากาศของการเข้าถวายสักการะพระบรมศพ เบื้องหน้าพระบรมโกศ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ตั้งแต่เวลา 08.00-21.00 น. (ยกเว้นช่วงมีพระราชพิธีบนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท) โดยมีประชาชนจากทั่วทุกสารทิศสวมชุดไว้ทุกข์สุภาพเรียบร้อยเดินทางมาต่อคิว เพื่อเข้าสักการะพระบรมศพตั้งแต่เช้ามืด ซึ่งเจ้าหน้าที่เปิดให้ประชาชนเข้าทางประตูวิเศษไชยศรีอย่างเป็นระเบียบในเวลา 04.45 น. จากนั้นเวลา 08.00 น. ได้เปลี่ยนให้ประชาชนเข้าทางประตูวิมานเทเวศร์ ต่อด้วยประตูสุวรรณบริบาล เพื่อเข้าสู่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท
ทั้งนี้ พสกนิกรที่มากราบสักการะพระบรมศพทุกคนยังคงอยู่ในความโศกเศร้าเสียใจ หลายคนกอดพระบรมฉายาลักษณ์ที่นำมาจากบ้านไว้แนบอกตลอดเวลา และเมื่อได้เข้ากราบถวายสักการะพระบรมศพแล้ว สำนักพระราชวังแจกภาพพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พิมพ์ 4 สี ขนาด 5 คูณ 7 นิ้ว ที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานแก่พสกนิกรทุกคนเก็บไว้เป็นที่ระลึกด้วย
นางนิติมา มณีวิทย์ อายุ 51 ปี รองผู้อำนวยการโรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัย สตูล นำคณะผู้บริหาร ครู และบุคลาการ จำนวน 39 คน เดินทางมาด้วยรถบัสโดยสารระยะทางร่วม 1 พันกิโลเมตร เข้ากราบสักการะพระบรมศพ โดยเปิดเผยด้วยเสียงสะอื้นว่า โรงเรียนของเราเป็นโรงเรียน 1 ใน 12 โรงเรียนตามโครงการพระราชดำริของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ที่ทรงต้องการสร้างนักวิทยาศาสตร์ นักวิจัย และนวัตกรรมต่างๆ เพื่อให้ประเทศไทยได้พัฒนาคนรุ่นใหม่ในด้านวิทยาศาสตร์อย่างก้าวทัน

นางนิติมา กล่าวถึงการเดินทางในครั้งนี้ว่า พวกเราสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณในในหลวง ร.9 ที่ทรงมีต่อปวงชนชาวไทย เมื่อได้เข้ากราบพระบรมศพ เป็นความรู้สึกที่พูดไม่ออก ตนในฐานะข้าราชการ มีความประทับใจในหลวง ร.9 ในด้านที่ทรงแบบอย่างให้กับข้าราชการในการทรงงานเพื่อประชาชน ในการด้านศึกษาทรงใฝ่รู้ใฝ่ศึกษา ส่วนตัวได้ยึดแนวทางการเป็นข้าราชการดี ไม่มีอาชีพเสริม ไม่ทำธุรกิจใดๆ

ด้าน นางหรรษา เยน อายุ 35 ปี ชาว จ.สตูล อาชีพขายผลไม้และมีครอบครัวเป็นชาวมาเลเซียและอาศัยอยู่ที่ประเทศมาเลเซีย เกือบ 20 ปี เดินทางมาพร้อมกับสามีชาวมาเลเซีย นายทิมแมน เยน พร้อมลูกอีก 2 คน โดยนางหรรษา กล่าวว่า ตนและครอบครัวขับรถมาจากประเทศมาเลเซียเมื่อวันที่ 4 ธ.ค. แล้วจอดรถไว้ที่สนามบินหาดใหญ่ จากนั้นได้พากันนั่งเครื่องบินจาก อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา มาสนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อมาเข้าคิวรอที่ท้องสนามหลวงช่วงตี 4 ของวันนี้ ตนตั้งใจมากราบสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เพราะรักในหลวง ร.9 มาก ถึงแม้จะเดินทางไปอยู่ที่มาเลเซียแต่ก็ยังผูกพัน ทุกครั้งที่ได้ยินเพลงชาติจะรู้สึกดีใจ และลูกก็ร้องเพลงชาติได้ เห็นภาพในหลวงก็จะยกมือไหว้ทุกครั้ง วันนี้ถือเป็นบุญที่ได้มีโอกาสเข้ากราบสักการะใกล้ชิด เพราะทั้งชีวิตไม่เคยได้รับเสด็จฯ
นางหรรษา กล่าวด้วยว่า วันที่พระองค์เสด็จสวรรคต แม่โทรไปบอกที่มาเลเซีย รู้สึกเสียใจมาก ทุกวันนี้เห็นข่าวพระองค์ท่านก็ร้องไห้ทุกครั้ง ได้เข้าไปกราบก็น้ำตาไหล ทั้งเสียใจและตื้นตันใจ คนที่ไม่เคยไปอยู่ต่างประเทศจะไม่รู้ว่าประเทศไทยดีแค่ไหน คนไทยมีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กันและกัน ลูกชายเห็นคนไทยแจกอาหารที่สนามหลวงยังแปลกใจ เพราะต่างประเทศไม่มีภาพแบบนี้ นั้นเป็นเพราะผู้ใหญ่ปลูกฝังกันมา จึงซึมซับในเรื่องการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อกัน

น.ส.สายศรี วงศ์จรรยากุล อายุ 70 ปี ประชาสัมพันธ์ห้องสมุดแห่งหนึ่ง จากเมืองแคลิฟอร์เนียร์ ประเทศสหรัฐอเมริกา เดินทางมาพร้อมสามี นายโรเบิร์ต แมคคอร์มิก เจ้าหน้าที่ดูแลเด็กพิเศษ ตั้งใจเดินทางจากประเทศสหรัฐอเมริกามาถวายสักการะ พระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเป็นครั้งแรก โดยก่อนหน้านี้มีโอกาสเฝ้าฯ รับเสด็จขบวนเคลื่อนพระบรมศพ เมื่อวันที่ 14 ต.ค.2559 รวมทั้งมาลงนามถวายสักการะและร่วมบันทึกประวัติศาสตร์ร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีที่ท้องสนามหลวง
ขณะที่ นายโรเบิร์ต เปิดเผยว่า การถวายสักการะพระบรมศพในวันนี้ถือเป็นการให้เกียรติกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ของโลก ซึ่งอุทิศพระวรกายเพื่อพัฒนาประเทศไทยอย่างมิเห็นแก่เหน็ดเหนื่อย ไม่ได้ช่วยเหลือแต่คนรวย แต่ช่วยคนยากจนให้มีโอกาสลืมตาอ้าปาก แม้เป็นชาวต่างชาติแต่ได้ติดตามข่าวสารการทรงงานจากพระราชกรณียกิจต่างๆ ยิ่งประทับใจในตัวกษัตริย์พระองค์นี้ ซึ่งแตกต่างจากผู้นำของประเทศอื่นๆ ทรงงานหนักเพื่อประชาชน ทรงเป็นหัวหน้าครอบครัวที่ดี ไม่เฉพาะพระองค์เท่านั้น แต่พระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์เจริญรอยตามเบื้องพระยุคลบาท อุทิศพระวรกายทำงานเพื่อคนไทย เพื่อประเทศชาติ
ด้าน น.ส.สายศรี กล่าวเสริมว่า ตนรักในหลวงรัชกาลที่ 9 มาก ตั้งปณิธานเลยว่าก่อนตายจะต้องมา สักการะพระบรมศพสักครั้งหนึ่ง ดังนั้นระยะทางที่ห่างไกลจึงไม่เป็นอุปสรรค ยิ่งเห็นประชาชนมากันอย่างล้นหลามยิ่งสัมผัสได้ถึงความรักอันยิ่งใหญ่ วันที่พระองค์เสด็จสวรรคตครอบครัวเราได้แต่งชุดสีดำ เพื่อเป็นการไว้ทุกข์และตั้งใจจะสวมชุดสีดำกระทั่งถึงพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ
ที่มา ข่าวสดออนไลน์