เผยแพร่ |
---|
ดับเครื่องชน! บีทีเอส ฟ้องศาลปกครอง ล้มประมูล รถไฟฟ้าสายสีส้ม
เมื่อวันที่ 10 มี.ค.64 คุณสุรพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า สืบเนื่องจาก เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2564 บริษัท ได้นำส่งจดหมาย เรื่อง ขอให้ตรวจสอบการดำเนินการโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์ – มีนบุรี (สุวินทวงศ์)
ถึง ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ประธานคณะกรรมการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย และประธานคณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน
เนื่องมาจาก การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย คณะกรรมการคัดเลือกตามมาตรา 36 แห่งพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐ และเอกชน พ.ศ. 2562 ได้ร่วมกันเปลี่ยนแปลงแก้ไขเอกสารสำหรับการคัดเลือกฯ ทำให้ บริษัทจัดทำหนังสือสอบถาม และขอความเป็นธรรมของโครงการฯ จำนวน 5 ฉบับ แต่ก็มิได้รับการชี้แจงในการดำเนินโครงการ แต่อย่างใด
คุณสุรพงษ์ กล่าวว่า เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2563 บริษัทได้ฟ้อง การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย หรือ รฟม. และคณะกรรมการคัดเลือกฯ เป็นคดีปกครอง เพื่อให้ศาลปกครองกลางมีคำสั่งเพิกถอนการกระทำทางปกครอง และขอให้มีคำสั่งทุเลาการบังคับตามมติที่เห็นชอบเปลี่ยนแปลงแก้ไขวิธีการประเมินข้อเสนอ
ศาลปกครองกลางได้พิจารณาแล้วเห็นว่า การแก้ไขวิธีการประเมินข้อเสนอ น่าจะเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงมีคำสั่งให้ทุเลาการบังคับตามหลักเกณฑ์การร่วมลงทุนของ รฟม. ที่แก้ไขเพิ่มเติม เป็นการชั่วคราว จนกว่าศาลจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น
โดยในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2563 ทาง รฟม. มีหนังสือ ถึงบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) โดยแจ้งว่า คดีปกครองดังกล่าว อยู่ระหว่างอุทธรณ์คำสั่งเกี่ยวกับวิธีการชั่วคราวก่อนการพิพากษา และยังคงกำหนดการยื่นข้อเสนอการร่วมลงทุนตามที่กำหนดในเอกสาร ส่วนการคัดเลือกเอกชนเพิ่มเติม คือ วันที่ 9 พฤศจิกายน 2563 และกำหนดเปิดซองข้อเสนอซองที่ 1 ในวันที่ 23 พฤศจิกายน 2563 ตามเดิม
ทำให้บริษัทร่วมกับบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) และ บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) ยื่นข้อเสนอการร่วมลงทุนในโครงการ ในกิจการร่วมค้า บีเอสอาร์ (BSR Join Venture) ตามวันดังกล่าว
ต่อมา วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2564 รฟม. ประกาศในเว็บไซต์ มีใจความว่า เพื่อคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์ – มีนบุรี (สุวินทวงศ์) เป็นไปด้วยความเรียบร้อย และเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ภาครัฐ
รฟม. จึงขอยกเลิกประกาศเชิญชวนฯ และยกเลิกการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนตามประกาศเชิญชวนดังกล่าว และ วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2564 ศาลปกครองสูงสุดได้รับแจ้งว่า รฟม. ขอถอนอุทธรณ์คำสั่งศาลปกครองสูงสุด จึงได้มีคำสั่งอนุญาตให้ถอนอุทธรณ์
ทั้งนี้ บริษัทเห็นว่า การดำเนินการดังกล่าวของ รฟม. น่าจะไม่ถูกต้องทั้งข้อกฎหมาย และระเบียบที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากประเด็นข้อคิดเห็นที่แตกต่างกัน ซึ่งทุกฝ่ายที่เป็นคู่ความที่เกี่ยวข้องจะต้องรอคำวินิจฉัยของศาลปกครองที่เป็นที่สุดเสียก่อนเพื่อนำมาเป็นแนวทางปฏิบัติให้ถูกต้องต่อไป
คุณสุรพงษ์ กล่าวว่า บริษัทจึงจำเป็นต้องยื่นฟ้อง ผู้ว่าการ รฟม. และคณะกรรมการคัดเลือกฯ เป็นคดีอาญา ต่อศาลอาญา คดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง
ต่อมา วันที่ 1 มีนาคม 2564 ระหว่างรอฟังคำพิพากษาของศาลปกครองกลางและดำเนินกระบวนการทางอาญา คุณภคพงศ์ ศิริกันทรมาศ ผู้ว่าการ รฟม. ได้เริ่มกระบวนการคัดเลือกเอกชนด้วยการประกาศรับฟังความคิดเห็นของภาคเอกชนใหม่ ผ่านทางไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ โดยมีสาระสำคัญของวิธีการประเมินข้อเสนอ ดังนี้
การพิจารณาข้อเสนอซองที่ 2 และซองที่ 3 โดย รฟม. จะประเมินข้อเสนอซองที่ 2 และซองที่ 3 เป็นคะแนน โดยมีคะแนนเต็ม 100 คะแนน แบ่งสัดส่วนเป็นคะแนนข้อเสนอซองที่ 2 ข้อเสนอด้านเทคนิค 30 คะแนน และคะแนนข้อเสนอซองที่ 3 ข้อเสนอด้านการลงทุนและผลตอบแทน 70 คะแนน และนำคะแนนซองที่ 2 และซองที่ 3 ของผู้ยื่นข้อเสนอแต่ละรายมารวมกัน และผู้ยื่นข้อเสนอที่ได้คะแนนรวมสูงที่สุดจะเป็นผู้ผ่านการประเมินสูงสุด
ซึ่งโดยหลักเกณฑ์การพิจารณาข้อเสนอในข้างต้น เป็นหลักเกณฑ์เดียวกับหลักเกณฑ์ที่ศาลปกครองกลางมีคำสั่งไม่ให้ รฟม. นำมาใช้บังคับในการคัดเลือกเอกชน
คุณสุรพงษ์ กล่าวว่า ตามพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐ และเอกชน พ.ศ.2562 การเปลี่ยนแปลงแก้ไขเอกสารสำหรับการคัดเลือกเอกชนเล่มที่ 1 ข้อแนะนำผู้ยื่นข้อเสนอ โดยการออกเอกสารสำหรับการคัดเลือกเอกชนเพิ่มเติมครั้งที่ 1 ก็ดี การยกเลิกประกาศเชิญชวนฯ ยกเลิกการคัดเลือกเอกชนตามประกาศเชิญชวนฯ รวมถึง การเปิดให้รับฟังความคิดเห็นของภาคเอกชนเพื่อจัดทำร่างเอกสาร มิอาจกระทำได้เช่นที่ รฟม. และคณะกรรมการคัดเลือกฯ กำลังดำเนินการอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาของโครงการ และความล่าช้าที่เกิดขึ้น
บีทีเอส ไม่ต้องการแสดงออกในลักษณะของการโต้แย้งกับหน่วยงานของรัฐผ่านสื่อ จึงพยายามร้องขอความเป็นธรรมและดำเนินตามกระบวนการกฎหมาย แต่พบว่า มีความพยายามเบี่ยงเบนข้อเท็จจริง ซึ่งอาจทำให้บีทีเอสเกิดความเสียหาย ดังนั้น บีทีเอสจึงมีความจำเป็นต้องชี้แจงความจริงทั้งหมด เพื่อให้ทุกคนเข้าใจในสิ่งที่ถูกต้อง และต่อสู้เพื่อเรียกร้องความถูกต้องและชอบธรรมต่อ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนได้เพื่อป้องกันมิให้เกิดความเสียหายในด้านการลงทุนหลายมิติของประเทศไทย