ผู้เขียน | ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ |
---|---|
เผยแพร่ |
อีกเพียง 1 เดือนเท่านั้นก็จะเข้าสู่ปี 2560ภาคธุรกิจโรงแรมต่างร่วมประเมินถึงแนวโน้มสถานการณ์ด้านท่องเที่ยว ทั้งทิศทางการลงทุน การทำตลาดห้องพัก รวมถึงปัจจัยบวกและลบในมิติต่าง ๆ ทั้งเศรษฐกิจและการเมืองที่ยังต้องจับตาต่อเนื่อง
“กมลวรรณ วิปุลากร” กรรมการผู้จัดการใหญ่ “ดิ เอราวัณ กรุ๊ป” บอกว่า ปี 2560 น่าจะเป็นปีที่ดีสำหรับธุรกิจโรงแรม โดยดิ เอราวัณ กรุ๊ปตั้งเป้าหมายการเติบโตด้านรายได้จากการเพิ่มขึ้นของราคาห้องพัก ขณะที่อัตราเข้าพักน่าจะสามารถรักษาระดับไว้ได้ที่ 80%
ตามแผนลงทุน 5 ปี ตั้งแต่ปี 2559-2563 ดิ เอราวัณ กรุ๊ปวางงบฯลงทุนรวมที่ 1 หมื่นล้านบาท เฉลี่ยปีละ 2 พันล้านบาท แบ่งเป็นการลงทุนโรงแรมในไทย 70% และที่ฟิลิปปินส์ 30% พร้อมวางแผนการเติบโตเฉลี่ยปีละ 10% โดยน้ำหนักการลงทุนและพัฒนาในปี 2560 ยังเป็นกลุ่มโรงแรมแบรนด์ “ฮ็อป อินน์” ซึ่งเตรียมเปิดให้บริการอีก 10 แห่ง แบ่งเป็นในไทย 8 แห่ง และในฟิลิปปินส์อีก 2 แห่ง ทำให้ในสิ้นปี 2560 มีฮ็อป อินน์ทั้งหมด 30 แห่ง
ด้านสถานการณ์ไตรมาส 4 ปีนี้ยอดขายของ ดิ เอราวัณ กรุ๊ป อาจทรงตัวหรือไม่มีการเติบโตเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งเติบโตดี อัตราเข้าพักน่าจะรักษาระดับได้ที่ 78-79% ส่วนราคาห้องพักสามารถปรับขึ้นได้ในบางโลเกชั่น เช่น โรงแรมในภาคใต้ ซึ่งเข้าสู่ช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว (ไฮซีซั่น) แล้ว
ขณะที่ผลประกอบการงวด 9 เดือนแรกของปีนี้บริษัทพบว่ามีกำไรในทุกไตรมาส แต่เนื่องจากในไตรมาส 4 การเติบโตชะลอตัว ทำให้ทั้งปี 2559 อาจเติบโตไม่ถึง 10% แต่ยังถือว่าโตโดยมีอัตราเข้าพักเฉลี่ยตลอดปีนี้อยู่ที่ 80% สูงกว่าปีที่แล้ว ซึ่งปิดไปที่ 73%
ด้าน “รณชิต มหัทธนะพฤทธิ์” รองประธานอาวุโสฝ่ายการเงินและบริหาร“โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา” หรือเซ็นเทล บอกว่า ธุรกิจโรงแรมปี 2560 น่าจะมีแนวโน้มดีขึ้น ไม่น่าเจอปัจจัยลบรุนแรง ขณะที่ปัจจัยบวกมาจากแรงผลักดันของกระแสการเดินทางท่องเที่ยวภายในภูมิภาคเอเชียเป็นหลัก
อย่างไรก็ตามยังต้องจับตาคือปัจจัยด้านการเมืองภายในประเทศหลังรัฐบาลได้วางไทม์ไลน์“การเลือกตั้ง”ไว้ช่วงปลายปีหน้า ซึ่งตรงกับช่วงไฮซีซั่นพอดี
“ในปีหน้าเครือเซ็นทาราจะเน้นเพิ่มการเติบโตด้านราคาห้องพักและรายได้ต่อห้องพักที่3-4%โดยตั้งเป้าอัตราเข้าพักเฉลี่ยตลอดปีที่81-82% โดยในปีดังกล่าวจะมีโรงแรมที่เครือเซ็นทารารับบริหาร เตรียมเปิดให้บริการตามแผนงานอีก 3-4 แห่งในโอมาน กาตาร์ และประเทศไทย”
สำหรับในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้น่าจะประคองตัวไปได้ที่อัตราเข้าพักเฉลี่ย 82% หลังจากที่เดือนตุลาคมอัตราเข้าพักลดลงเพียงเล็กน้อยที่ 1% โดยปัจจุบันตลาดการจัดประชุมสัมมนา (ไมซ์) มีสัญญาณที่ดี ลูกค้ากลับมาคอนเฟิร์มจัดงานอีกครั้ง โดยมองว่าหลังจากนี้หากรัฐบาลออกมาตรการผ่อนปรนด้านต่าง ๆ เอื้อต่อธุรกิจท่องเที่ยว ก็น่าจะทำให้ภาพรวมโรงแรมในไทยกลับสู่สภาวะปกติได้
ขณะที่ผลการดำเนินงานในไตรมาส 3 ที่ผ่านมา เครือเซ็นทาราสามารถประคับประคองอัตราการเข้าพักได้ 80% สูงกว่าปีที่แล้วซึ่งอยู่ที่ 79%
ส่วนตลาดนักท่องเที่ยวจีน ซึ่งรัฐบาลได้ดำเนินมาตรการจัดระเบียบทัวร์ผิดกฎหมายนั้น โรงแรมในเครือเซ็นทารา ตลาด 4 ดาวได้รับผลกระทบจากมาตรการดังกล่าวไม่มากนัก เพราะตลาดกรุ๊ปทัวร์จีนที่รับบางกลุ่มทำเป็นซีรีส์เข้ามาต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังมีตลาดนักท่องเที่ยวจากแถบอาเซียน อินเดีย และสหรัฐอเมริกา เพิ่มมากขึ้นในปีนี้เนื่องจากเศรษฐกิจดี มีการเดินทางเชิงธุรกิจเข้ามาหาช่องทางลงทุนในไทย
ก่อนหน้านี้ “ชนินทธ์ โทณวณิก” รองประธานกรรมการและประธานกรรมการบริหาร ดุสิตธานี อินเตอร์เนชั่นแนลมองว่า ปี 2560 ภาคการท่องเที่ยวไทยคงจะดีขึ้น เพราะมีปัจจัยหลาย ๆ อย่างเอื้อ อาทิ ราคาน้ำมันโลกที่ยังถูก หนุนต้นทุนการเดินทางของนักท่องเที่ยวเป็นอย่างดี เศรษฐกิจเอเชียมีแนวโน้มไปได้ดีพอใช้ เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาเองก็น่าจะดีขึ้น ขณะที่เศรษฐกิจยุโรปแม้จะแย่มานานแต่ก็เริ่มนิ่งขึ้นแล้ว
สำหรับสถานการณ์ในประเทศกลุ่มตะวันออกกลางที่มีความวุ่นวายแต่มีบางตลาดที่น่าสนใจเช่นประเทศที่เพิ่งเปิดมากขึ้นอย่างอิหร่านที่ไม่ถูกคว่ำบาตร ดังนั้น นักท่องเที่ยวจากประเทศเหล่านี้ควรมีแนวโน้มเติบโตที่ดี
อย่างไรก็ตาม เรื่องที่น่าเป็นห่วงของภาคการท่องเที่ยวไทย คือ ขีดความสามารถในการรองรับนักท่องเที่ยวของธุรกิจการบินในไทย
และเชื่อว่าถ้าปี 2560 สถานการณ์การเมืองของไทยนิ่งต่อไป และนิ่งต่อเนื่องไปอีก 3-4 ปีข้างหน้า ภาคการท่องเที่ยวไทยจะดีขึ้นได้อีกมหาศาล…