ลอมบาร์ด โอเดียร์-เคแบงก์ ไพรเวทแบงกิ้ง เผย มุมมองผู้มีความมั่งคั่งต่อชีวิตวิถีใหม่

Lombard Odier-KBank Private Banking เผยผลสำรวจ มุมมองผู้มีความมั่งคั่งต่อชีวิตวิถีใหม่

Lombard Odier (ลอมบาร์ด โอเดียร์) ร่วมกับ KBank Private Banking (เคแบงก์ ไพรเวทแบงกิ้ง) และพันธมิตรทางธุรกิจทั้ง 5 รายในภูมิภาคเอเชีย เผยผลสำรวจล่าสุด สานสัมพันธ์ เปลี่ยนผ่าน และพลิกโฉม : การเข้าถึงผู้มีความมั่งคั่งสูงในภูมิภาคเอเชีย ในยุค New Normal ซึ่งศึกษามุมมองและข้อกังวลของบุคคลผู้มีความมั่งคั่งสูง (UHNWIs) และผู้นำธุรกิจในภูมิภาคเอเชีย ท่ามกลางช่วงเวลาแห่งความท้าทาย พร้อมเสนอแนวทางในการขับเคลื่อนบริการการบริหารความมั่งคั่ง

เพื่อตอบสนองความต้องการของบุคคลกลุ่มนี้ได้ดียิ่งขึ้น โดยการรวบรวมความคิดเห็นของบุคคลผู้มีความมั่งคั่งสูง 150 รายในหลากหลายประเทศ ได้แก่ ประเทศไทย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ฮ่องกง ญี่ปุ่น และไต้หวัน ครอบคลุมมุมมองในหลากหลายมิติ ทั้งด้านเทคโนโลยี การลงทุน ครอบครัว และความยั่งยืน

คุณวินเซนต์ มาเนียนาต์ Limited Partner and Chief Executive Officer, Asia, Lombard Odier กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ และผลกระทบจากวิกฤตโควิด-19 ที่ซับซ้อน ส่งผลให้หลากหลายครอบครัวและนักธุรกิจชั้นนำในภูมิภาคต้องปรับเปลี่ยนมุมมองต่อสิ่งต่างๆ รอบตัว ที่เห็นได้อย่างชัดเจนคือ บุคคลผู้มีความมั่งคั่งสูงหลายรายต้องการพึ่งพาที่ปรึกษาที่มีความเชี่ยวชาญในประเทศนั้นๆ ซึ่งสามารถให้คำแนะนำและช่วยให้พวกเขาเข้าถึงตลาดต่างประเทศได้ ในช่วงเวลาที่การเดินทางกลายเป็นเรื่องยากลำบากยิ่งขึ้น รวมไปถึงบริการจากธนาคารที่ให้ความสำคัญกับหลักการและความเชื่อ ที่สอดคล้องกันกับสิ่งที่พวกเขาให้คุณค่าและรู้สึกเชื่อมโยงด้วย การเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับ KBank Private Banking ได้ตอบโจทย์ความต้องการนี้ และทำให้ผู้มีความมั่งคั่งสูงในประเทศไทยสามารถเข้าถึงโอกาสด้านการลงทุน ผ่านเครือข่ายของ Lombard Odier ในภูมิภาคเอเชีย

เทคโนโลยี : สร้างสมดุลระหว่างเทคโนโลยีและมนุษย์

โรคโควิด-19 ได้กลายเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้ทั่วทั้งโลกต้องตกอยู่ในสภาวะที่ไม่เคยเป็นมาก่อน 81% ของผู้มีความมั่งคั่งสูงในเอเชีย กล่าวว่า การติดต่อผ่านช่องทางดิจิทัลเพิ่มขึ้น และลดการพบปะกันลง จะกลายเป็นบรรทัดฐานใหม่ ซึ่งผู้มีความมั่งคั่งสูงในประเทศไทยที่คิดเห็นเช่นนี้มีจำนวนมากเป็นลำดับที่ 3 ในเอเชีย

แต่ไม่ใช่ทุกอย่างที่สามารถขับเคลื่อนบนโลกดิจิทัลได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับการติดต่อสื่อสาร และการสร้างความไว้วางใจระหว่างลูกค้าและไพรเวทแบงก์ โดย 59% ของผู้มีความมั่งคั่งสูงในเอเชียและในประเทศไทยส่วนใหญ่ ยังคงต้องการพบปะพูดคุยที่ธนาคารหรือสถานที่อื่นๆ มากกว่าการติดต่อผ่านทางอีเมล จดหมาย วิดีโอคอล หรือโทรศัพท์

การลงทุน : มองหาบริการอื่นๆ ที่มากกว่าการลงทุน

จากผลสำรวจพบว่า 70% ของผู้มีความมั่งคั่งสูงในประเทศไทย ไม่ได้ปรับเปลี่ยนพอร์ตการลงทุน โดยเฉพาะระยะเวลาของการลงทุน สำหรับด้านการบริหารสินทรัพย์ แม้ว่าจะมีผู้มีความมั่งคั่งสูงในเอเชียบางส่วนเลือกที่จะบริหารจัดการแบบที่ความเสี่ยงค่อนข้างต่ำ (Conservative) โดยเลือกลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำ เงินฟรังก์สวิส เงินเยน และพันธบัตรรัฐบาล แต่ก็ยังมีผู้มีความมั่งคั่งสูงอีกจำนวนหนึ่งที่มองเห็นโอกาสในช่วงเวลานี้ โดยให้ความสนใจกับหุ้น และตราสารหนี้ภาคเอกชน เนื่องจากเล็งเห็นแนวโน้มว่าภาวะดอกเบี้ยต่ำจะเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตวิถีใหม่

ด้วยแนวโน้มการหมุนกลับของโลกาภิวัตน์ ผู้มีความมั่งคั่งสูงหลายราย ต้องการพึ่งพาที่ปรึกษาด้านการจัดการบริหารสินทรัพย์ที่มีความน่าเชื่อถือ และมีความเชี่ยวชาญในประเทศนั้นๆ โดย 87% ของผู้มีความมั่งคั่งสูงในประเทศไทย กล่าวว่า การมีบริการพิเศษที่นอกเหนือบริการด้านลงทุนจะส่งผลอย่างมากต่อการตัดสินใจในการเลือกธนาคาร

บริการ 3 อันดับแรกที่ผู้มีความมั่งคั่งสูงในไทยให้ความสำคัญสูงสุด ได้แก่ ความสามารถในการบริหารจัดการทรัพย์สิน การเข้าถึงโอกาสการลงทุนในสินทรัพย์จริง เช่น อสังหาริมทรัพย์ และความสามารถในการเข้าถึงเครือข่ายผู้ประกอบการ

บริการสำหรับครอบครัว : ธรรมาภิบาลของครอบครัวคือเรื่องเร่งด่วน

วิกฤตโควิด-19 ส่งผลให้ครอบครัวของผู้มีความมั่งคั่งสูงในเอเชีย เริ่มกลับมาทบทวนเรื่องแนวทางจัดการธุรกิจและทรัพย์สินครอบครัว และธรรมาภิบาลในการจัดการทรัพย์สินครอบครัว โดย 35% ของครอบครัวผู้มีความมั่งคั่งสูงได้มีการจัดทำธรรมาภิบาลของครอบครัวแล้ว และวิกฤตในครั้งนี้ส่งผลให้อีก 45% ของครอบครัวที่ยังไม่ได้จัดทำธรรมาภิบาลของครอบครัวสนใจที่จะเริ่มวางแผนในอนาคต

นอกจากนี้ บริการที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate Advisory Service) ได้กลายเป็นอีกหนึ่งบริการที่เติบโตสูงที่สุด และเข้ามาตอบโจทย์การบริหารจัดการที่ดินของครอบครัวผู้มีความมั่งคั่งสูงในประเทศไทย สำหรับในปี 2020 ที่ผ่านมา KBank Private Banking ได้ทำการศึกษาและดูแลพอร์ตการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ให้แก่กลุ่มลูกค้าผู้มีความมั่งคั่งสูงจำนวน 121 ราย โดยครอบคลุมที่ดินทั้งหมด 940 แปลง

ความยั่งยืน : การลงทุนอย่างยั่งยืนคือวิถีแห่งอนาคต

กลุ่มผู้มีความมั่งคั่งสูงเริ่มหันกลับมาตระหนักถึงสิ่งที่มีคุณค่าต่อการดำเนินชีวิตหลังวิกฤตโควิด-19 ซึ่งกระแสด้านความยั่งยืนคือหนึ่งในองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดสำหรับการตัดสินใจเลือกไพรเวทแบงก์ โดย 69% ของผู้มีความมั่งคั่งสูงในประเทศไทยได้จัดอันดับให้เทรนด์ด้านความยั่งยืนเป็น 1 ใน 3 ประเด็นที่สำคัญที่สุด ซึ่งประเทศไทยคือประเทศที่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากที่สอง รองจากประเทศญี่ปุ่น

แม้ว่า 89% ของผู้มีความมั่งคั่งสูงในเอเชีย กล่าวว่า เทรนด์ความยั่งยืนจะยังคงมีบทบาทสำคัญในระยะยาว แต่กลับมีเพียง 61% ที่วางแผนการลงทุนโดยคำนึงถึงมิติด้าน ESG และการพัฒนาอย่างยั่งยืน สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของไพรเวทแบงก์ในการให้คำแนะนำ เพื่อแสดงให้กลุ่มผู้มีความมั่งคั่งสูงเห็นถึงศักยภาพและแนวทางการสร้างผลกำไรของการลงทุนอย่างยั่งยืนอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น

คุณจิรวัฒน์ สุภรณ์ไพบูลย์ Private Banking Group Head ธนาคารกสิกรไทย

คุณจิรวัฒน์ สุภรณ์ไพบูลย์ Private Banking Group Head ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า ผลสำรวจนี้ เป็นการตอกย้ำความต้องการของกลุ่มผู้มีความมั่งคั่งสูงที่เพิ่มขึ้น และซับซ้อนมากยิ่งขึ้นในหลากหลายมิติท่ามกลางวิกฤตโควิด-19 ในขณะที่ทั่วโลกกำลังปรับตัวกับโลกในยุคหลังโควิด-19 KBank Private Banking พร้อมด้วยพันธมิตรทางธุรกิจ Lombard Odier มองว่ามี 4 เรื่อง ที่ผู้ให้บริการไพรเวทแบงก์ต้องทำเพื่อช่วยสร้างความมั่งคั่งที่ยั่งยืนให้แก่ลูกค้าในชีวิตวิถีใหม่ ได้แก่

  1. เร่งพัฒนาคุณภาพของบริการดิจิทัล ทั้งในด้านการสื่อสาร การส่งมอบบริการ การรายงานข้อมูลทางการเงิน และการทำธุรกรรม ควบคู่ไปกับการใช้เทคโนโลยีเพื่อยกระดับการให้บริการของไพรเวทแบงเกอร์
  2. สร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการลงทุนที่มีกลไกควบคุมความเสี่ยง และติดตั้งเครื่องมือที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถบริหารจัดการความเสี่ยงได้สะดวกขึ้นในทุกๆ ผลิตภัณฑ์
  3. เสริมความแข็งแกร่งของบริการที่ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงการลงทุนในตลาดทุน ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนนอกตลาดและลงทุนโดยตรงในบริษัท หรือบริการให้คำแนะนำด้านอสังหาริมทรัพย์และการวางแผนความมั่งคั่ง
  4. เป็นสื่อกลางในการพิสูจน์ให้เห็นถึงผลตอบแทนในระยะกลางและระยะยาวของการลงทุนอย่างยั่งยืน และนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง

“ตราบใดที่โลกยังคงมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วมากขึ้น เรายิ่งต้องยกระดับการผนึกกำลังกับพันธมิตรทางธุรกิจของเรา ผ่านวิสัยทัศน์ องค์ความรู้ และประสบการณ์ของผู้เชี่ยวชาญทั้งในและต่างประเทศ เพื่อร่วมสร้างเศรษฐกิจที่พร้อมปรับตัวได้อย่างยั่งยืน ควบคู่ไปกับการสร้างสังคมที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นกว่าเดิม” คุณจิรวัฒน์ กล่าวปิดท้าย