NIA เผย ปี 63 นวัตกรรมบรรเทาโควิด บูม พร้อมโชว์ 2 นวัตกรรม เพื่อแพทย์-พยาบาล

นวัตกรรมSmartpulz เครื่องวัดสัญญาณชีพระยะไกล (2)

NIA เผย ปี 63 นวัตกรรมบรรเทาโควิด บูม พร้อมโชว์ 2 นวัตกรรมสุดเจ๋ง เพื่อแพทย์และพยาบาล

สำนักงานนวัตกรรมแหงชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA เผยปี 2563 ได้สนับสนุนนวัตกรรมทางการแพทย์ และนวัตกรรมเพื่อการบรรเทาการระบาดโรคโควิด-19 ไปแล้วกว่า 20 โครงการ ภายใต้วงเงินกว่า 50 ล้านบาท โดยมีนวัตกรรมที่เกิดขึ้นอย่างหลากหลาย อาทิ ระบบการแพทย์ทางไกล หรือ Telehealth นวัตกรรมการคัดกรองและทดสอบการติดเชื้อ หน้ากากอนามัยชนิดใช้ซ้ำได้ ฯลฯ

พร้อมโชว์ตัวอย่างความสำเร็จ 2 นวัตกรรม ได้แก่ นวัตกรรม Smart Pulz ซึ่งเป็นเครื่องมือวัดสัญญาณชีพ อัตราการเต้นของหัวใจระยะไกล ส่งข้อมูลถึงมือคุณหมอด้วยระบบ IoT บนสมาร์ตโฟน และ Knock-down Airborne Infection Isolation Room หรือห้องแรงดันลบแยกผู้ติดเชื้อโควิด-19 อาการหนักแบบถอดประกอบได้ ซึ่งเป็น 2 นวัตกรรมที่ช่วยลดการระบาด และช่วยในการทำงานของทีมแพทย์ได้เป็นอย่างดี

ดร.พันธุ์อาจ ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

ดร.พันธุ์อาจ ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA กล่าวว่า ตั้งแต่สถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในปีที่ผ่านมา NIA ได้สนับสนุนนวัตกรรมทางการแพทย์เพื่อลดผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการระบาดไปแล้วกว่า 20 โครงการ ภายใต้วงเงินสนับสนุนกว่า 50 ล้านบาท ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่า ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีศักยภาพด้านการแพทย์และสาธารณสุข ที่ได้รับการยอมรับจากนานาชาติ

ซึ่งในปี 2564 นี้ NIA ยังคงให้ความสำคัญและผลักดันธุรกิจนวัตกรรมทางการแพทย์ และสตาร์ตอัพในสาขาที่เกี่ยวข้องอย่างจริงจัง โดยวางแผนพัฒนา “นวัตกรรมการแพทย์โยธี (YMID)” ให้เป็นพื้นที่ต้นแบบในการพัฒนานวัตกรรมการแพทย์ของประเทศ เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจและเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงการบริการ เทคโนโลยีการแพทย์ที่ทันสมัยของประชาชน ซึ่งจะร่วมมือกับสตาร์ตอัพ นักลงทุนในสาขาต่างๆ นักพัฒนาด้านเทคโนโลยีและเครื่องมือแพทย์ เพื่อลดต้นทุนในการนำเข้ายาและเครื่องมือทางการแพทย์จากต่างประเทศ

พร้อมปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์และยกระดับมุมมองของมาตรฐานการแพทย์ไทยสู่มาตรฐานโลก สร้างเครือข่ายผู้ประกอบการและวิสาหกิจเริ่มต้นภายในย่านพัฒนาระบบแรงจูงใจเพื่อเป็นตัวกระตุ้น ดึงดูดให้เกิดการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ และพัฒนาที่ดิน รวมทั้งการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่ใน 3 ด้านได้แก่

นวัตกรรม Smartpulz เครื่องวัดสัญญาณชีพระยะไกล (2)

1) ธุรกิจนวัตกรรมการดูแลสุขภาพ (Healthcare Business) เป็นการพัฒนานวัตกรรมทั้งรูปแบบผลิตภัณฑ์และบริการ เพื่อมุ่งเน้นการลดค่าใช้จ่ายระบบสาธารณสุขของประเทศ ทำให้ปัญหาการเข้าถึงการรักษา ความผิดพลาดในการวินิจฉัย และการขาดการติดตามสุขภาวะ

2) ธุรกิจอาหารทางการแพทย์และผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ (Novel Food & Natural product) เป็นการพัฒนาอาหารและสารสกัดธรรมชาติที่ปรุงขึ้นมาเฉพาะและมีสูตรที่แน่นอน เพื่อการบำบัดโรค/ลดความเสี่ยงเป็นโรค โดยสามารถพิสูจน์และผ่านการรับรองความปลอดภัย ที่มีผลการทดสอบทางคลินิกยืนยันประสิทธิภาพ

3) ธุรกิจนวัตกรรมการบริการทางการแพทย์ (Service platform) เป็นการพัฒนาระบบเชื่อมต่อข้อมูลด้านการแพทย์ รวมถึงระบบบริหารจัดการสถานพยาบาล ที่จำเป็นต้องพัฒนาให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด ภายใต้ข้อจำกัดด้านกำลังคน และงบประมาณด้วยผลิตภัณฑ์หรือระบบทางการแพทย์และสุขภาพ ลดความแออัดของสถานพยาบาล เพิ่มความสะดวกรวดเร็วและการเข้าถึงการให้บริการ

นพ.ณัฐวุฒิ ตันฑเทอดธรรม หุ้นส่วนผู้จัดการ ห้างหุ้นส่วนจำกัด เมดิออท ผู้คิดค้นนวัตกรรม Smart Pulz เครื่องมือวัดสัญญาณชีพ อัตราการเต้นของหัวใจระยะไกล ส่งข้อมูลถึงมือคุณหมอด้วยระบบ IoT บนสมาร์ทโฟน

ด้าน นพ.ณัฐวุฒิ ตันฑเทอดธรรม หุ้นส่วนผู้จัดการ ห้างหุ้นส่วนจำกัด เมดิออท ผู้คิดค้นนวัตกรรม Smart Pulz เครื่องมือวัดสัญญาณชีพ อัตราการเต้นของหัวใจระยะไกล ส่งข้อมูลถึงมือคุณหมอด้วยระบบ IoT บนสมาร์ตโฟน กล่าวว่า เครื่องวัดสัญญาณชีพ “Smart Pulz” มีจุดเริ่มต้นจากกรณีที่คนไข้มีอาการแย่ลงในช่วงที่แพทย์หรือพยาบาลไม่ได้ตรวจวัดสัญญาณชีพ ทำให้คนไข้บางรายอาจถึงขั้นเสียชีวิต ดังนั้น จึงเริ่มคิดค้นนวัตกรรมที่จะช่วยให้พยาบาลสามารถติดตามสัญญาณชีพของคนไข้ได้ตลอด 24 ชั่วโมงโดยที่ไม่ต้องนั่งเฝ้า ในช่วงแรกได้มีการใช้นวัตกรรม Smart Pulz กับผู้ป่วยในห้อง ICU ทั่วไปเท่านั้น

แต่ในช่วงการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทางบริษัทเห็นว่าสามารถนำมาใช้เพื่อลดความเสี่ยงในการสัมผัสผู้ป่วยติดเชื้อให้แก่แพทย์ และพยาบาลได้เป็นอย่างดี เนื่องจากเป็นการทำงานผ่านระบบ IOT ซึ่งจะแสดงผลการตรวจวัดทั้งหมด 4 อย่าง ได้แก่ 1. อุณหภูมิในร่างกาย 2. อัตราการเต้นของหัวใจ 3. อัตราการหายใจ และ 4. การเคลื่อนไหว ผ่านระบบ Central Monitor และรายงานผลไปยังคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์มือถือของพยาบาลที่ดูแลผู้ป่วยที่ติดเชื้อโควิด-19 ซึ่งนอกจากจะช่วยลดการสัมผัสผู้ป่วยแล้ว ยังช่วยให้แพทย์สามารถสังเกตและเฝ้าระวังอาการของผู้ป่วยได้ตลอด 24 ชั่วโมง

ขณะนี้ มีการนำระบบไปให้โรงพยาบาลทดลองใช้แล้วกว่า 25 แห่ง โดยส่วนใหญ่จะใช้ในหอผู้ป่วยที่ติดเชื้อโควิด-19 สำหรับผลจากการใช้งานในระยะแรกนั้นพบว่าสามารถตรวจวัดได้ค่อนข้างแม่นยำ พยาบาลไม่ต้องเข้าไปสัมผัสผู้ป่วยโควิด-19 โดยตรง และยังช่วยประหยัดชุด PPE ได้อีกด้วย แต่ปัจจุบันระบบยังมีข้อจำกัดในเรื่องของการเชื่อมต่อไวไฟ และในขณะที่ผู้ป่วยมีการเคลื่อนไหวตัวบ่อย ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการพัฒนาระบบได้ดียิ่งขึ้น

คุณวรเสน ลีวัฒนกิจ กรรมการผู้จัดการ บริษัท วินด์ชิลล์ จำกัด

ด้าน คุณวรเสน ลีวัฒนกิจ กรรมการผู้จัดการ บริษัท วินด์ชิลล์ จำกัด ผู้ผลิตห้องแยกผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 อาการหนักแบบถอดประกอบได้ กล่าวว่า ช่วงที่ประเทศไทยเกิดการระบาดของเชื้อโควิด-19 อย่างหนัก  ส่งผลให้โรงพยาบาลขาดแคลนห้องแยกผู้ป่วยอาการหนัก (ICU) ซึ่งมีจำนวน 5% ของผู้ป่วยทั้งหมด ดังนั้นจึงต้องเร่งก่อสร้างให้ทันท่วงที โดย NIA ได้ให้การสนับสนุนเงินทุนเพื่อพัฒนาเทคโนโลยี ที่สามารถผลิตได้อย่างรวดเร็ว และเป็นไปตามมาตรฐานสากลเพื่อส่งมอบให้แก่โรงพยาบาลต่างๆ ได้ทันต่อสถานการณ์ ดังนั้นบริษัทจึงได้ออกแบบและผลิต ห้องแยกผู้ป่วยโควิด-19 อาการหนักที่ได้มาตรฐาน ANSI/ASHRAE 170 และผลิตได้อย่างรวดเร็วใช้เวลาเพียง 1-3 เดือนเท่านั้น

โดยใช้เทคโนโลยี Building Information Modeling (BIM) ในการออกแบบและควบคุมการก่อสร้าง  ซึ่งเป็นการออกแบบ 3 มิติ ร่วมกับการใช้เทคโนโลยี Modular Design และ การผลิตแบบ Pre-Fabrication ซึ่งสามารถทำให้ผลิตได้อย่างรวดเร็ว ส่วนการควบคุมการติดเชื้อทางอากาศเพื่อป้องกันไม่ให้คนไข้โควิด-19 แพร่เชื้อโรคไปยังผู้ป่วยอื่น รวมทั้งบุคลากรทางการแพทย์  ทำโดยใช้เกณฑ์การออกแบบตามมาตรฐาน ANSI/ASHRAE Standard 170 ใช้มาตรฐานเครื่องมือแพทย์ ISO 13485 รวมทั้งใช้วิศวกรออกแบบที่ได้การรับรอง ASHRAE Certified Professional เป็นผู้ดำเนินการ

ซึ่งมีหลักการทางวิศวกรรมที่สำคัญคือ ควบคุมแรงดันห้องให้เป็นลบ และควบคุมทิศทางการไหลของอากาศภายในห้องผู้ป่วยไม่ให้แพร่กระจายใช้การกรองผ่าน HEPA Filter ใช้การเติมอากาศใหม่ในปริมาณที่เหมาะสม  รวมทั้งจัดการอากาศเสียจากผู้ป่วย ไม่ให้แพร่กระจายไปยังที่อื่น ซึ่งขณะนี้บริษัทได้ติดตั้งห้องแยกผู้ป่วยอาการหนักแบบถอดประกอบได้ ไปแล้วหลายโรงพยาบาล  โดยเฉพาะโรงเรียนแพทย์ต่างๆ  เช่น โรงพยาบาลรามาธิบดี  โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า  โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ  สถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์ ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก คณะแพทย์ศิริราชพยาบาล โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เป็นต้น