เปิด 7 ข้อผิดพลาด ทำธุรกิจอย่างไรก็ไม่ปัง พังก่อนถึงฝันเสมอ

เปิด 7 ข้อผิดพลาด ทำธุรกิจอย่างไรก็ไม่ปัง พังก่อนถึงฝันเสมอ

เคยสงสัยไหมว่า คู่แข่งในวงการธุรกิจอย่างเดียวกัน ทั้งที่มีต้นทุนตัวแปรในแบบเดียวกัน แต่ทำไมอีกคนทำแล้วธุรกิจเติบโต ในขณะที่อีกคนหนึ่งกลับซบเซาย่ำแย่จนเข้าขั้นวิกฤต อะไรคือสิ่งที่ทำให้ผลลัพธ์แตกต่าง ทั้งๆ ที่เป็นธุรกิจประเภทเดียวกันแท้ๆ?

เว็บไซต์ ธนาคารกรุงเทพ เผยบทวิเคราะห์ ตีแผ่จากประสบการณ์จริงของผู้ที่ทำธุรกิจแล้วพังไปได้ไม่ถึงไหน ที่ควรศึกษาไว้เป็นแนวทางเพื่อป้องกันการทำพลาด ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 7 ข้อ ดังนี้

  1. ขาดการวางแผนธุรกิจ การวางแผนธุรกิจเป็นสิ่งสำคัญ ที่ไม่ควรมองข้ามในการเริ่มต้นทำธุรกิจ เพราะนี่จะเป็นเครื่องมือช่วยผลักดันให้ความคิดฟุ้งซ่านที่วิ่งวุ่นอยู่ในหัว กลายเป็นสิ่งที่จับต้องได้และช่วยผลักดันธุรกิจไปได้อย่างถูกทิศทาง ในการทำธุรกิจจะอาศัยแรงจูงใจหรือ Passion เพียงอย่างเดียวไม่ได้ เพราะถ้าใจหมดไฟจะทำให้ไปต่อไม่เป็น จึงต้องควรร่างมันออกมาเป็นแบบแผนในการดำเนินงานตามสเต็ป และมีไทม์ไลน์ในการบริหารจัดการที่เด่นชัด เพราะแผนธุรกิจ เปรียบเสมือนหางเสือเรือที่จะช่วยบังคับทิศทางการดำเนินธุรกิจ ให้ไปสู่เป้าหมายได้โดยไม่เดินสะเปะสะปะหลงทิศ นอกจากนี้ หากธุรกิจก้าวหน้าไปได้ดี ยังสามารถใช้แผนธุรกิจนี้ยื่นกู้ขอเงินทุนเพิ่มเติมจากธนาคารต่างๆ ได้อีกด้วย
  1. เงินทุนหมุนเวียนไม่มากพอ แน่นอนว่าการเริ่มต้นธุรกิจนั้นต้องเริ่มจากการมีเงินทุนหมุนเวียนในระดับหนึ่ง เพื่อใช้ดำเนินการต่างๆ ไปพร้อมกับต้องเตรียมใจยอมรับความเสี่ยงไปด้วยว่า ธุรกิจที่ทำอยู่อาจไม่สร้างกำไรให้ในทันที บางธุรกิจอาจต้องยอมขาดทุนเป็นหลายสิบปี กว่าจะเห็นผลกำไร ยกตัวอย่างเช่น Facebook เคยขาดทุนมาแล้วถึง 1,800 ล้านบาท ในปี ค.ศ. 2007 ถึงแม้ในปีนั้นจะมีรายได้สูงถึง 8,900 ล้านบาท จากจำนวนผู้ใช้งานทั่วโลก 50 ล้านคน ก็ตาม ต่อเมื่อผ่านไป 13 ปี Facebook สามารถทำกำไรได้สูงถึง 522,000 ล้านบาท ในปี ค.ศ. 2017 จากยอดผู้ใช้งานทั่วโลก 2,000 ล้านคน ดังนั้น ในขณะเริ่มต้นธุรกิจใหม่ๆ อาจต้องเผื่อเงินทุนไว้สำรองด้านต่างๆ ให้มากพอที่จะทนอยู่ในสภาพขาดทุนไปได้ในระดับหนึ่ง เพราะเราไม่สามารถออกทะเลหาปลาแล้วจะได้ปลากลับมาทุกวัน
  1. ตัวตนไม่ชัดเจน หากคิดจะทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ จะต้องทำอย่างใดอย่างหนึ่งให้เด่นชัดหรือสร้างความชำนาญมากพอ จนสิ่งที่เราทำสามารถขายตัวมันเองได้ หากทำหลายอย่างมากเกินไป หรือเสนอขายหลายสิ่งมากไป จะทำให้ลูกค้าหรือตัวตนของธุรกิจไม่ชัดเจน เกิดความสับสนในภาพจำและเข้าใจธุรกิจคลาดเคลื่อน การทำอะไรหลายอย่างมากเกินไปจึงทำให้เอกลักษณ์ของธุรกิจที่ทำไม่ชัดเจน

  1. หย่อนวินัย การทำงานประจำ จำเป็นต้องรักษาระเบียบวินัยในการปฏิบัติงานหรือให้เวลาทำงานอย่างไร การทำธุรกิจส่วนตัวยิ่งต้องเข้มงวดขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า เพราะนี่คือชีวิตของเราเอง ธุรกิจของเราเอง จะมาชิลๆ สโลว์ไลฟ์ เปิด-ปิดร้านตามใจ นำเสนอขายในสิ่งที่ชอบและอยากขายโดยไม่สนใจกระแส การตลาดและเทรนด์โลกไม่ได้ เพราะเริ่มต้นทำธุรกิจ คือการก้าวขาขึ้นมาบนเรือที่เราต้องขับเคลื่อนด้วยกำลังกาย กำลังใจ และกำลังทรัพย์ของตัวเอง หากธุรกิจพังนั่นเท่ากับว่าชีวิตเราก็พังลงไปด้วย นอกจากนี้ ยังไม่ได้มีเพียงเราคนเดียวที่ทำธุรกิจแบบนี้ ยังมีคู่แข่งอีกมากมายรอวิ่งแซงหรือแม้แต่เหยียบทับเราไปข้างหน้ารายล้อมอยู่ด้วย วินัยจึงเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งในการทำธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการวางแผน การปฏิบัติตามแผนงาน การใช้เวลา การเข้าพบลูกค้า ล้วนต้องมีวินัยกำกับทุกขั้นตอน
  1. ไม่มีการแยกแยะทำบัญชี มีผู้ประกอบการหลายคนเริ่มต้นทำธุรกิจโดยไม่สนเรื่องการทำบัญชี งบดุล รายรับ รายจ่าย ในแต่ละเดือน รวมไปถึงไม่มีการตั้งเป้าหมายและค่าแรงให้ตัวเอง ทำให้มองไม่เห็นภาพของธุรกิจที่ทำอยู่ว่าสร้างรายได้ ให้ผลกำไรหรือขาดทุน หากเป็นอย่างนี้ก็มีแนวโน้มที่แน่ชัดว่าธุรกิจนี้จะมีปัญหาเรื่องการเงินหมุนเวียนต่อมาในอีกไม่นาน เพราะการแยกแยะเงินทุนหมุนเวียนออกจากผลประกอบการ และตั้งค่าจ้างแรงงานให้ตัวเอง จะช่วยกันปัญหาการดึงเงินทุนจากกิจการไปใช้นอกระบบในทางอื่นได้ ดังนั้น สิ่งแรกที่ต้องทำในการทำธุรกิจคือ ต้องตั้งเงินเดือนให้ตัวเองด้วยว่าควรจะมีรายรับเท่าใดในแต่ละเดือน ถึงจะพอกับการใช้ชีวิต พร้อมกับวางเป้าหมายของผลประกอบการในแต่ละเดือนควบคู่กันไป ว่าควรต้องทำเป้าเท่าไหร่ มีรายรับ หักลบรายจ่ายแล้วเหลือผลกำไรเท่าไหร่ ธุรกิจจึงจะเดินต่อไปได้ การทำบัญชีจึงช่วยให้สามารถวิเคราะห์ทิศทางธุรกิจได้ ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใดๆ ก็ตาม
  1. ขาดการคิดวิเคราะห์และทำการตลาด รู้หรือไม่ว่าการเก็บสถิติต่างๆ เกี่ยวกับข้อมูลการซื้อขาย รวมไปถึงข้อมูลสถิติต่างๆ เช่น ถ้าทำธุรกิจเกี่ยวกับเว็บไซต์ การเก็บข้อมูลสถิติเกี่ยวกับยอดผู้คนที่เข้ามาใช้งานเว็บ รวมถึงพฤติกรรม ระยะเวลาการใช้งาน รวมถึงข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายไว้นั้น สามารถนำมาปรับใช้ทำเป็นแผนกลยุทธ์ทางการตลาด เพื่อออกแคมเปญโปรโมชั่นต่างๆ กระตุ้นยอดขาย ตลอดจนสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการวางทิศทางของธุรกิจและวิเคราะห์คู่แข่ง เพื่อหาทางหนีทีไล่ได้ด้วยเช่นกัน ดังนั้น จงอย่าพลาดการทำการตลาดจากการเก็บข้อมูลสถิติต่างๆ มาคิดวิเคราะห์
  1. นิยมความสมบูรณ์แบบ ลงทุนไม่หยุด ในการทำธุรกิจจำเป็นต้องมีการขยับขยายเติบโต หากเริ่มต้นในขณะที่ยังไม่พร้อม แน่นอนว่าต้องมีการพัฒนาธุรกิจควบคู่ไปด้วย เพื่อให้เกิดความสมบูรณ์พร้อมต่อการทำธุรกิจนั้นๆ ซึ่งในความสมบูรณ์ที่หมายถึง ไม่ใช่ความสมบูรณ์แบบ แบบไร้ที่ติที่เป็นภาพฝันในใจ แต่ควรเป็นความสมบูรณ์แบบตามแผนธุรกิจที่ทำโครงร่างไว้ ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันไม่ให้ลงทุนผิดจุด หลงทิศทาง จนกลายเป็นว่า เงินทุนหดหายกระจัดกระจายไปกับสิ่งไม่จำเป็น การลงทุนในธุรกิจควรมาจากงบดุลที่ตั้งไว้ในแต่ละปี และลงทุนเมื่อถึงจุดที่ควรลงทุน ไม่ควรลงทุนตลอดเวลา เพราะนั่นเท่ากับว่าเป็นการปิดประตูแพ้ไปโดยปริยาย จากผลกำไรที่จะหายไปในต้นทุน สุดท้ายจะกลายเป็นทำธุรกิจแล้วไม่ได้อะไร เพราะผลกำไรหายไปในกองทุน