เอกชนมั่นใจส่งออกข้าวปี′59-60 ทะลุเป้า ได้ถึงปีละ 10 ล้านตันจากราคาลงแข่งขันดี

ส.ส่งออกข้าวมั่นใจ ปี′59 ส่งออกได้ 10 ล้านตัน ทะลุเป้าหมายที่วางไว้ 9.5 ล้านตัน ผลจากราคาข้าวหอมลงดันยอดส่งออกข้าวหอมมะลิมากขึ้น เผยเป้าส่งออกปี′60 ดีต่อเนื่องได้ 10 ล้านตัน

ร.ต.ท. เจริญ เหล่าธรรมทัศน์ นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่า การส่งออกข้าวในปี 2560 คาดการณ์ว่าการส่งออกข้าวไทยจะเกินจากเป้าหมายที่ตั้งไว้ 9.5 ล้านตัน อยู่ที่ 10 ล้านตัน

ส่วนในปี 2559 คาดว่าจะส่งออกได้ 10 ล้านตัน เกินจากเป้าหมายที่วางไว้ 9.5 ล้านตัน หากการส่งออกข้าวในเดือนธันวาคม 2559  สามารถส่งออกข้าวเฉลี่ยอยู่ที่ 800,000 ตัน รวมกับยอดการส่งออกข้าว 11 เดือนแรกของปีเฉลี่ยมากกว่า 9 ล้านตันแล้ว

“เหตุที่การส่งออกสูงกว่าเป้าหมาย เป็นผลจากการส่งออกข้าวหอมมะลิเพิ่มถึง 20% ในเดือนที่ผ่านมาอยู่ที่ 1.2 แสนตัน จากปกติ  90,000 ตัน จึงมีความมั่นใจว่าการส่งออกทั้งปีของไทยส่งออกจะได้ 10 ล้านตัน ส่วนจะกลับมาเป็นอันดับ 1 ของการส่งออกข้าวของโลกอาจจะต้องติดตามการส่งออกข้าวของอินเดียเป็นปัจจัยสำคัญ”

สำหรับการส่งออกข้าวหอมมะลิที่ปรับเพิ่มขึ้นนั้น เป็นผลมาจาการความต้องการข้าวในตลาดที่ช่วงต้นปีเป็นช่วงตรุษจีน ทำให้ผู้นำเข้าเร่งนำเข้าข้าวหอมมะลิเพื่อบริโภคให้ทันในช่วงเทศกาล ประกอบกับปัจจัยเรื่องของผลผลิตในตลาดไม่มาก เนื่องจากนโยบายของรัฐบาลที่ให้ชะลอการขาย ทำให้ราคาข้าวหอมมะลิไทยปรับขึ้นอยู่ที่ 600 เหรียญสหรัฐต่อตัน เพิ่มจากเดิม 60-70 เหรียญสหรัฐต่อตัน การแข่งขันข้าวหอมมะลิของไทยจึงปรับตัวดีขึ้น การส่งออกดีขึ้น

นอกจากนี้ การส่งออกข้าวหอมมะลิเข้าไปในหลายตลาดก็เพิ่มขึ้น เช่น มาเลเซีย ส่งออกเพิ่มขึ้นเฉลี่ยอยู่ที่ 20-30% รวมไปถึงตลาดสหรัฐ ฮ่องกง ขณะที่ยังมั่นใจว่าการส่งออกข้าวหอมมะลิในตลาดฮ่องกงในปี 2560 จะเพิ่มและครองส่วนแบ่งตลาดได้ถึง 70% จากปี 2559 อยู่ที่ 60% และเชื่อมั่นอีกว่าตลาดข้าวหอมมะลิของไทย ไทยจะสามารถดึงตลาดเก่ากลับมาได้ แต่อาจจะต้องใช้ระยะเวลา 3-4  ปีในการทำตลาดและสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคและผู้นำเข้าจากประเทศนั้นๆ

“การระบายข้าวที่อยู่ในสต๊อกของรัฐบาลประมาณ 8  ล้านตัน  หากสามารถนำข้าวในสต๊อกออกมาขายได้  ก็เชื่อว่าจะช่วยลดแรงกดดัน การส่งออก การค้าข้าวได้ในตลาด ซึ่งก็จะทำให้ภาพการส่งออกข้าวไทยดีขึ้น การแข่งขัน กลไกของตลาดก็จะปรับตัวดีขึ้นW

สำหรับสถานการณ์ราคาข้าวในยตลาดขณะนี้ ข้าวขาว 5% จากที่ราคาต่ำสุด 10.80 บาทต่อกิโลกรัม ขณะนี้ขยับขึ้นอยู่ที่ 12 บาทต่อกิโลกรัม ข้าวหอมมะลิ จากที่ราคาต่ำสุด 15.80 บาทต่อกิโลกรัม ขณะนี้ขยับขึ้นอยู่ที่ 19-20 บาทต่อกิโลกรัม ข้าวเหนียวจากที่ราคาต่ำสุด 17.50 บาทต่อกิกโลกรัม ขณะนี้ขยับขึ้นอยู่ที่ 21.50 บาทต่อกิโลกรัม ต้องยอมรับว่าจากหลายปัจจัยมีผลให้ราคาข้าวไทยปรับตัวดีขึ้นทุกชนิด พร้อมยังคาดการณ์ด้วยว่า ข้าวเหนียวในช่วงปลายปีนี้จะมีการนำเข้าเพิ่มขึ้น เนื่องจากความต้องการของตลาดเพิ่มขึ้น ส่วนราคาข้าวเก่าเฉลี่ยอยู่ที่ 12.50-13 บาทต่อกิโลกรัม

นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์ สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่า การส่งออกข้าวไทยที่เพิ่มขึ้นนั้น นอกจากการส่งออกข้าวหอมมะลิเพิ่มขึ้น ก็ยังเป็นผลมาจากราคาข้าวไทยใกล้เคียงประเทศคู่แข่ง ทั้งอินเดีย และเวียดนาม ทำให้ผู้นำเข้าหันเข้ามาซื้อข้าวไทยมากขึ้น รวมถึงค่าเงินบาทของไทยด้วย ขณะที่ราคา FOB ก็ปรับลดลง ไทยก็สามารถแข่งขันการค้าข้าวได้ อย่างไรก็ดี หากไทยสามารถส่งออกข้าวได้ 10 ล้านตัน ก็จะมีมูลค่าประมาณ 1.7 แสนล้านบาท

นางสาววิบูลย์ลักษณ์ ร่วมรักษ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวภายหลังการหารือร่วมกับ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กรมการค้าภายใน กรมการค้าต่างประเทศ และสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย ถึงการประชาสัมพันธ์ รางวัลชนะเลิศการประกวดข้าว ว่าสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย จะจัดงานแสดงความยินดีที่ข้าวหอมมะลิไทย ที่ได้รับรางวัลชนะเลิศ ข้าวดีเด่นของโลกในวันที่ 8 ธันวาคม 2559 นี้ ซึ่งภายในงาน The World Rice Conference จะมีการเชิญสมาคมที่เกี่ยวข้อง ทางสมาคมชาวนาไทย สมาคมโรงสีข้าวไทย รวมถึงสถานทูตต่างๆ จากประเทศที่ซื้อข้าวจากไทยมาร่วมด้วย เพราะถือเป็นรางวัลของประเทศ และเป็นการตอกย้ำถึงคุณภาพข้าวหอมมะลิที่ดีของประเทศไทยด้วย โดยการให้คะแนนนั้นมาจากความสวยและความสะอาด จากตัวอย่างข้าวที่ยังไม่ได้หุง 40 คะแนน และอีก 60 คะแนน จะพิจารณาจากรสชาติข้าวที่หุงแล้ว ซึ่งไทยถือว่าเป็นเลิศ

จากการจัดประกวดข้าวดีเด่นของโลกประจำปี 2016 เป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมในงาน The World Rice Conference ซึ่งจัดขึ้นทุกปีและปีนี้จัดขึ้นที่เชียงใหม่ และมีผู้เข้าร่วมประชุมกว่า 600 ท่านจากผู้ค้าข้าวทั่วโลกซึ่งนับว่ามากที่สุดเป็นประวัติการณ์ และมีข้าวจากหลากหลายประเทศส่งเข้าประกวดมากถึงกว่า 50 ตัวอย่าง ปรากฎว่าข้าวหอมไทยได้รางวัลชนะเลิศในปีนี้ ข้าวหอมจากกัมพูชาเป็นอันดับที่ 2 ตามด้วยข้าว Japonica (ข้าวเมล็ดสั้น) จากสหรัฐอเมริกาเป็นอันดับ 3