สธ. แถลง ไทยเริ่มผลิตวัคซีนโควิด-19 ล็อตแรก ส่งมอบ พ.ค.64

สธ. แถลง ไทยเริ่มผลิตวัคซีนโควิด-19 ล็อตแรก ส่งมอบ พ.ค.64
สธ. แถลง ไทยเริ่มผลิตวัคซีนโควิด-19 ล็อตแรก ส่งมอบ พ.ค.64

สธ. แถลง ไทยเริ่มผลิตวัคซีนโควิด-19 ล็อตแรก ส่งมอบ พ.ค.64

เมื่อวันที่ 3 ม.ค. 64 กระทรวงสาธารณสุข เผย ไทยเริ่มผลิตวัคซีนโควิด-19 ในประเทศแล้ว โดยเป็นวัคซีนที่ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตจากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด และบริษัท แอสตร้าเซนเนก้า ที่มีอัตรากำลังการผลิตได้ ปีละ 200 ล้านโด๊ส มีกำหนดทยอยส่งมอบล็อตแรกในเดือนพฤษภาคม 2564 และประเทศไทยมีการสั่งซื้อวัคซีนจากบริษัทประเทศจีน เพื่อส่งมอบในเดือนกุมภาพันธ์-เมษายน 2 ล้านโด๊ส พร้อมเจรจาจัดหาเพิ่ม ให้คนไทยได้รับการฉีดวัคซีนโดยรัฐ ฟรี ตามเป้าหมายไม่น้อยกว่าร้อยละ 50

นายแพทย์ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า รัฐบาลไทย โดยกระทรวงสาธารณสุข ได้ร่วมมือกับหลายฝ่าย เพื่อให้ประชาชนมั่นใจได้ว่า จะได้รับวัคซีนในเวลาไม่ช้ากว่าประเทศส่วนใหญ่ โดยตั้งแต่กลางปีที่ผ่านมา คณะกรรมการขับเคลื่อนการจัดหาวัคซีนโควิด-19 เพื่อคนไทย ได้เตรียมการหาข้อมูล วางเป้าหมาย วิธีการทำงาน มีกลไกต่างๆ ที่จะทำให้ได้วัคซีนมา ตั้งเป้าหมายฉีดวัคซีนให้คนไทยโดยรัฐฟรี ไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของประชากร หรือประมาณ 70 ล้านโด๊ส โดยได้ทำสัญญาจองซื้อวัคซีนล่วงหน้าจำนวน 26 ล้านโด๊สกับบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า ซึ่งใช้เทคโนโลยีของมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ในขณะนี้ อยู่ระหว่างถ่ายทอดกระบวนการผลิตให้กับบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ และคาดว่าจะเริ่มทยอยส่งมอบได้ภายในปลายเดือนพฤษภาคม

ส่วนวัคซีนอีกร้อยละ 30 อยู่ระหว่างการเจรจากับ COVAX Facility ทำข้อตกลงกับบริษัทผลิตวัคซีนที่คาดว่ามีโอกาสนำมาใช้ได้ รวมทั้งเจรจากับบริษัทอื่นๆ เช่น ไฟเซอร์, โมเดอร์นา, บริษัทจากประเทศจีน หรืออาจขอซื้อเพิ่มจากแอสตร้าเซนเนก้า เพื่อให้ได้วัคซีนตามเป้าหมาย นอกจากนี้ มีข่าวดีว่าจะได้รับวัคซีนจากบริษัทซิโนแวค ประเทศจีน 2 ล้านโด๊ส โดยได้รับปลายเดือนกุมภาพันธ์ประมาณ 200,000 โด๊ส ปลายเดือนมีนาคม 800,000 โด๊ส และปลายเดือนเมษายนอีก 1 ล้านโด๊ส

นายแพทย์ศุภกิจ กล่าวต่อว่า ณ เวลานี้ วัคซีนมีจำนวนไม่มาก แม้แต่ประเทศที่เริ่มฉีดแล้วก็เริ่มทยอยฉีด ไม่สามารถฉีดพร้อมกันได้ในครั้งเดียว ไม่ใช่สินค้าที่จะหาซื้อได้ทั่วไปในตลาด ที่สำคัญคือจะต้องมีระบบควบคุมคุณภาพและความปลอดภัย จะไม่มีการซื้อวัคซีนจากโรงงานที่ไม่ได้มาตรฐาน ไม่มีผลการทดลองเฟส 3 รองรับ บริษัทเอกชนที่จะนำมาจำหน่ายต้องขึ้นทะเบียนกับ อย.

ที่สำคัญ ทุกล็อตที่จะออกสู่ท้องตลาดต้องได้รับการรับรองคุณภาพจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เป็นการคุ้มครองผู้บริโภค ซึ่งไทยมีกลไกการพิจารณาของคณะกรรมการฯ ผ่านกระบวนการที่ยืนยันว่ามีมาตรฐานเพียงพอ ให้เกิดความมั่นใจว่าคนไทยได้วัคซีนเร็ว และปลอดภัย รวมทั้งเมื่อได้รับวัคซีนมาแล้ว จะดำเนินการตามหลักการบริหารจัดการวัคซีน ที่มีการกำหนดกลุ่มเป้าหมาย วิธีการในการให้วัคซีน การเตรียมสถานบริการ และการควบคุมคุณภาพ ตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง

ด้าน นายแพทย์นคร เปรมศรี ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ กล่าวว่า ขณะนี้ทั่วโลกมีวัคซีนโควิด-19 ที่ได้รับการอนุญาตให้ใช้ในกรณีฉุกเฉิน (EUA) แล้ว 4 ชนิด จากผู้ผลิต 9 ราย เช่น mRNA, Viral Vector, Inactivated และ Sub unit protein ในประเทศไทยจะยอมรับการขึ้นทะเบียนที่มีผลของเฟส 3 มีประสิทธิผลที่ชัดเจน โดยวัคซีนที่มีการขึ้นทะเบียนและได้รับการยอมรับมีเพียง 3 ชนิดคือ ของบริษัทไฟเซอร์ (Pfizer) โมเดอร์นา (Moderna) และแอสตร้าเซนเนก้า (AstraZeneca) ที่เหลือเป็นการขึ้นทะเบียนแบบฉุกเฉินโดยใช้ผลการทดลองเฟส 2 เท่านั้น

แม้วัคซีนของจีนและรัสเซียที่ขึ้นทะเบียนไปก่อนหน้าตั้งแต่ ก.ค.-ส.ค. 2563 ก็ยังไม่มีผลเฟส 3 อย่างเป็นทางการออกมา และวัคซีนโควิด-19 ที่มีอยู่ในปัจจุบัน ทุกชนิดยังไม่สิ้นสุดการทดลอง ซึ่งทั้งของไฟเซอร์ และโมเดอร์นา ก็ยังต้องมีการเก็บข้อมูลต่อเนื่อง เพื่อดูประสิทธิผลของวัคซีนหลังสามเดือน ในขณะที่ของแอสตร้าเซนเนก้าที่ไทยจองซื้อ ได้รับอนุมัติทะเบียนให้ใช้วัคซีนในกรณีฉุกเฉินจากหน่วยงานควบคุมกำกับของอังกฤษแล้ว เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2563

สำหรับข่าว 10 ประเทศทั่วโลกที่ได้รับวัคซีนไปแล้วมากกว่า 5 ล้านโด๊สนั้น เกิดจากการจองวัคซีนล่วงหน้าตั้งแต่ช่วงเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม 2563 โดยขณะที่ทำการจองนั้น ยังไม่ทราบผลเบื้องต้นของการศึกษาประสิทธิภาพและความปลอดภัยของวัคซีน มีความเสี่ยงสูงมากที่วัคซีนจะไม่ประสบความสำเร็จและไม่ได้รับวัคซีน สำหรับประเทศไทย การจองวัคซีนล่วงหน้าก่อนทราบผลเฟส 3 โดยมีความเสี่ยงที่จะไม่ได้รับวัคซีนนั้น ได้อาศัยการออกประกาศ ใช้อำนาจ ตาม พ.ร.บ. ความมั่นคงด้านวัคซีนแห่งชาติ พ.ศ.2561 เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2563 และได้จองวัคซีนเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2563

นายแพทย์นคร กล่าวต่อว่า ส่วนคำถามความเป็นไปได้ที่ภายใน มกราคม 2564 จะมีการฉีดวัคซีนมากขึ้น แต่จะถึงร้อยล้านโด๊สหรือไม่ ขึ้นอยู่กับจำนวนวัคซีนที่มีอยู่ เนื่องจากขณะนี้ วัคซีนมีจำนวนจำกัด ทุกบริษัทกำลังขยายกำลังการผลิตให้เพียงพอใช้กับประชากรทั้งโลก ซึ่งเป็นโอกาสดีให้เราได้เห็นข้อมูลด้านความปลอดภัยของวัคซีนมากขึ้น เมื่อมีการใช้วัคซีนในประชากรกลุ่มใหญ่ จะทำให้มีโอกาสพบอาการไม่พึงประสงค์ ภายหลังได้รับวัคซีนที่พบได้ยากมากขึ้น นอกจากนี้ ประเทศไทยไม่ได้มุ่งอยู่กับวัคซีนของ AstraZeneca เพียงอย่างเดียว โดยกระทรวงสาธารณสุขได้กำหนดนโยบายการจัดหาวัคซีนเพื่อให้ครอบคลุมไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของประชาชนไทยในปี 2564 ซึ่งมีการดำเนินการในหลายแนวทาง

อย่างไรก็ตาม การจองซื้อวัคซีนจาก AstraZeneca จำนวน 26 ล้านโด๊ส เป็นเพียงข้อตกลงชุดแรก ขณะนี้ยังมีการเจรจากับผู้ผลิตวัคซีนอีกหลายบริษัท ไม่ได้มีการเจาะจงว่าจะทำความร่วมมือเฉพาะกับผู้ผลิตรายใดรายหนึ่ง

ทั้งนี้ ไม่ได้มีการปิดกั้นภาคเอกชนในการนำเข้าวัคซีนมาจำหน่ายในประเทศ โดยทำตามกระบวนการ ที่จะต้องได้รับการอนุมัติจาก อย. เพื่อเป็นการประกันว่า วัคซีนนั้นมีประสิทธิภาพ ความปลอดภัย และเป็นไปตามมาตรฐานสากล รวมทั้งได้มีแผนรองรับการขึ้นทะเบียนวัคซีนเพื่อใช้ในกรณีฉุกเฉิน 

ด้าน ดร.ทรงพล  ดีจงกิจ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามไบโซเอนซ์ จำกัด กล่าวว่า บริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ ได้รับการถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยี จากบริษัท แอสตร้าเซนเนก้า ตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคม 2563

ทางบริษัทมีการเตรียมความพร้อมทั้งด้านสถานที่ โรงงาน วัสดุอุปกรณ์ ครุภัณฑ์ และเครื่องจักร โดยปัจจุบันอยู่ในขั้นการทดสอบการผลิต เพื่อให้ได้วัคซีนที่มีคุณภาพดี มีมาตรฐานเทียบเท่ากับมาตรฐานกลาง ซึ่งเป็นมาตรฐานเดียวกับโรงงานผลิตทั่วโลก ภายใต้บริษัท แอสตร้าเซนเนก้า มีกำลังผลิตประมาณ 200 ล้านโด๊สต่อปี หรือเดือนละ 15 ถึง 20 ล้านโด๊ส

ทั้งนี้ จะมีการทดสอบใน 5 รอบการผลิต แต่ละรอบผลิตห่างกัน 14 วัน ใช้เวลารอบละ 120 วัน (4 เดือน) เป็นการผลิต 60 วัน และอีก 60 วันสำหรับการตรวจสอบวิเคราะห์คุณภาพ โดยผลิตรอบแรกเมื่อวันที่ 16 ธันวาคมที่ผ่านมา กำลังดำเนินการผลิตรอบที่ 2 เมื่อผลิตครบ 5 รอบจะนำผลยื่นต่อสำนักงานคณะกรรมการองค์การอาหารและยาเพื่อพิจารณาอนุมัติ อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่สุดในการผลิตวัคซีนคือคุณภาพและความน่าเชื่อถือ เพื่อให้ประชาชนมั่นใจในประสิทธิภาพและความปลอดภัย ซึ่งเป็นไปตามแผนที่วางไว้และจะมีการรายงานความคืบหน้าเป็นระยะ

ที่มา สถาบันวัคซีนแห่งชาติ