ใกล้เป็นจริง!?! กัญชาบ้านละ 6 ต้น หวังประชาชนเข้าถึง เพื่อดูแลสุขภาพตัวเอง

ใกล้เป็นจริง!?! กัญชาบ้านละ 6 ต้น หวังประชาชนเข้าถึง เพื่อดูแลสุขภาพตัวเอง
ใกล้เป็นจริง!?! กัญชาบ้านละ 6 ต้น หวังประชาชนเข้าถึง เพื่อดูแลสุขภาพตัวเอง

ใกล้เป็นจริง!?! กัญชาบ้านละ 6 ต้น หวังประชาชนเข้าถึง เพื่อดูแลสุขภาพตัวเอง

จากนโยบาย กัญชาเสรีทางการแพทย์ ของ นายอนุทิน ชาญวีระกุล รองนายกฯ และรมว.สาธารณสุข ได้ดำเนินการมาเป็นเวลามากกว่า 1 ปี ทำให้ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงยากัญชาได้จากสถานพยาบาลมากกว่า 300 แห่งทั่วประเทศ และการดำเนินการต่อไปในเฟส 2 นี้ จะมุ่งเน้นไปที่การเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจของกัญชา ทั้งในรูปแบบของผลิตภัณฑ์และการให้บริการด้านสุขภาพ

ดร.ภก.อนันต์ชัย อัศวเมฆิน คณะที่ปรึกษา รมว.สาธารณสุข ได้กล่าวถึงการดำเนินงานกัญชาทางการแพทย์ว่า นโยบายที่ผ่านมา มุ่งเน้นให้ประชาชนเข้าถึงยากัญชาทางการแพทย์ที่ได้มาตรฐาน ซึ่งผลการดำเนินงานจัดอยู่ในระดับที่ดี บุคลากรทางการแพทย์เริ่มให้การยอมรับยากัญชามากขึ้น และผู้ป่วยสามารถเข้าถึงยากัญชาได้จากสถานพยาบาลใกล้บ้าน โดยกระทรวงสาธารณสุขได้มอบหมายให้ สถาบันกัญชาทางการแพทย์ เป็นองค์กรกลางในการขับเคลื่อนนโยบายนี้ร่วมกับหน่วยงานทั้งในและนอกกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งในขณะนี้ได้มีการประชุมหารือกันจนได้ Road map ที่ชัดเจนแล้ว

ดร.ภก.อนันต์ชัย ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า สำหรับเฟสที่ 2 จะเน้นไปที่การพัฒนากัญชาให้มีมูลค่าในเชิงเศรษฐกิจ เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดกัญชาที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในขณะนี้ ซึ่งการพัฒนายังคงต้องอยู่บนพื้นฐานของหลักวิชาการ และ ประชาชนทุกคนที่ต้องการสร้างรายได้จากกัญชา จะต้องทราบว่า ในกฎหมายที่ผูกขาดให้รัฐดำเนินการจะต้องมีการแก้ไขมุมมอง แนวคิด รวมถึงต้องมีการเสนอแผนธุรกิจให้ชัดเจนและเป็นไปตามกฎหมาย

ดร.ภก.อนันต์ชัย อัศวเมฆิน คณะที่ปรึกษา รมว.สาธารณสุข

“นอกจากนี้ นโยบายกัญชา 6 ต้น ยังต้องดำเนินการต่อ เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงการใช้กัญชาเพื่อการดูแลสุขภาพตนเอง ดังนั้น การดำเนินงานในเฟสที่ 2 ต่อจากนี้ จึงเป็นการพัฒนากัญชา เพื่อยกระดับความสำคัญของเศรษฐกิจชุมชนควบคู่ไปกับการดูแลสุขภาพองค์รวมของประเทศ เพราะในภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ กระทรวงสาธารณสุข ในฐานะภาครัฐ ต้องมีส่วนร่วมกับรัฐบาลในการช่วยสร้างงาน สร้างรายได้ให้แก่พี่น้องประชาชน ในขณะเดียวกัน การสร้างการรับรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องแก่ประชาชนในทุกช่องทาง ก็เป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องดำเนินการควบคู่กันไปด้วยเช่นกัน” คณะที่ปรีกษา รมว.สาธารณสุข กล่าว

ด้าน นพ.กิตติ โล่สุวรรณรักษ์ ผู้อำนวยการสถาบันกัญชาทางการแพทย์ ชี้แจงแนวทางการผลักดันกัญชาทางการแพทย์ในเฟส 2 ว่า สถาบันกัญชาทางการแพทย์ จะมีบทบาทหลัก คือ การขับเคลื่อนนโยบายกัญชาทางการแพทย์ ร่วมกับภาคีเครือข่ายทั้งในและนอกกระทรวงสาธารณสุข ผ่าน 3 กลไกหลัก คือ การปรับข้อกำหนดและกฎระเบียบให้เอื้อต่อการดำเนินงาน (Regulation) การศึกษาวิจัย (Research) และการสื่อสารข้อมูลที่ถูกต้อง (Education) เนื่องจากการวิเคราะห์ข้อมูลการดำเนินงานที่ผ่านมา พบว่า กฎระเบียบจำนวนมากในขณะนี้ ถือเป็นข้อจำกัดสำคัญในการดำเนินงานให้บรรลุตามเป้าหมาย  ซึ่งต่อไปสถาบันกัญชาทางการแพทย์ จะต้องร่วมมือกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ในการรับฟังเสียงของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เพื่อนำมาปรับข้อกำหนดและกฎระเบียบต่างๆ ให้เอื้อต่อการพัฒนากัญชาในบริบทของประเทศไทยมากยิ่งขึ้น

“ในส่วนของการศึกษาวิจัย (Research) จะทำงานร่วมกับหน่วยงานให้ทุนต่างๆ ในการกำหนดโจทย์วิจัยที่จะนำมาสนับสนุนการดำเนินงาน ลดความซ้ำซ้อนของหัวข้อวิจัยและทำให้เกิดความคุ้มค่ามากที่สุด และ สุดท้ายคือการสื่อสาร (Education) จากการรับฟังเสียงจากหลายๆ พื้นที่ พบว่า ประชาชนยังมีความเข้าใจเกี่ยวกับกัญชาที่ไม่ถูกต้อง บุคลากรทางการแพทย์เอง ยังขาดข้อมูลสนับสนุนการใช้ยากัญชาในการรักษา ดังนั้นต้องใช้ประโยชน์จากงานวิจัยกัญชาที่ทั่วโลกทำอยู่มาสนับสนุนให้เกิดการใช้กัญชาทางการแพทย์ที่ปลอดภัย โดยจะเสนอแผนปฏิบัติการเร่งด่วน หรือ Quick win ที่ตั้งเป้าในการนำกัญชามาพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน ต่อท่านรองนายกฯ อนุทิน ภายในเดือนพฤศจิกายน และดำเนินการทันที โดยในแผนนี้จะแบ่งการพัฒนาเศรษฐกิจออกเป็น 2 ระดับ เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการปฏิบัติ คือ ระดับครัวเรือน โดยเน้นการลดรายจ่ายด้านการรักษาจากการใช้กัญชาเพื่อดูแลสุขภาพตนเอง และในระดับประเทศ ที่จะผลักดันให้มีการเชื่อมต่อต้นทาง กลางทาง ปลายทาง ของผลิตภัณฑ์กัญชาที่จะจำหน่ายและส่งออกต่างประเทศ รวมถึงการบริการสุขภาพ (Wellness) จากกัญชา” ผู้อำนวยการสถาบันกัญชาทางการแพทย์ กล่าว

นพ.กิตติ โล่สุวรรณรักษ์ ผู้อำนวยการสถาบันกัญชาทางการแพทย์

และทิ้งท้ายไว้ว่า

“ทั้งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขและปลัดกระทรวงสาธารณสุขเอง มีความเห็นพ้องต้องกันในการที่จะพัฒนากัญชาเป็นเรือธงเพื่อยกระดับเศรษฐกิจของประเทศ แต่ในขณะเดียวกัน ยังมีการพัฒนาสมุนไพรอื่นๆ คู่ขนานไปด้วยเช่นกัน เพื่อให้เกิดความหลากหลายและตอบโจทย์ความต้องการของตลาดโลกให้มากที่สุด ซึ่งการดำเนินงานต่อจากนี้ ประชาชนคนไทยจะต้องได้รับประโยชน์สูงสุด ทั้งในด้านสุขภาพและเศรษฐกิจ”