เว็บไซต์ มติชนออนไลน์ รายงานข่าวจากสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) แจ้งว่า วันที่ 21 กันยายนนี้ คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ที่มี นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธานนัดแรกหลังรับตำแหน่ง

โดยเตรียมพิจารณามาตรการช่วยเหลือประชาชนตามนโยบายของ นายสุพัฒนพงษ์ ที่ประกาศไว้ตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานว่าต้องการช่วยเหลือประชาชนผู้ใช้พลังงาน โดยเฉพาะราคาก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) และก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์

โดยในการประชุม กบง. คาดว่าจะมีการเสนอให้ต่ออายุส่วนลดแอลพีจีอัตรา 3 บาทต่อกิโลกรัม (กก.) หรือลดราคา 45 บาทต่อถังขนาด 15 กก. (ราคา 318 บาทต่อถัง 15 กก.) ออกไป คาดว่าจะเป็นสิ้นปี 2563 จากที่จะครบกำหนดมาตรการวันที่ 30 กันยายนนี้ ใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเข้ามาบริหารดูแลราคา

โดยการลดดังกล่าวจะสอดคล้องกับเอ็นจีวีสำหรับรถสาธารณะ ที่บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ประกาศลดราคาเช่นกัน โดยจำหน่ายอยู่ที่ 13.62 บาทต่อกก. ถึงสิ้นปี 2563 ซึ่งมติ กบง. ที่ผ่านมาได้เห็นชอบขยายมาตรการบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในช่วงการแพร่ระบาดโควิด-19 เพิ่มเติม

สำหรับเอ็นจีวีสาธารณะ ประกอบด้วย กลุ่มผู้ขับขี่รถแท็กซี่ รถตู้ร่วม ขสมก. รถสองแถว และ รถตุ๊กตุ๊ก แม้จะลดราคาถึงสิ้นปี แต่กระทรวงพลังงานมีนโยบายต้องการให้ส่วนลดดังกล่าวสะท้อนไปยังประชาชนผู้ใช้รถ อาทิ ส่วนลดค่าโดยสาร ด้วย จึงมีการหารือร่วมกับกระทรวงคมนาคมอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดในการประชุมกบง. นัดนี้ กระทรวงคมนาคมจะเข้าประชุมด้วย เพื่อหารือถึงความชัดเจนดังกล่าว

ส่วนนโยบายเสรีก๊าซธรรมชาติ ที่คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) อนุมัติให้เอกชน 3 ราย คือ หินกอง กัลฟ์ฯ และ บี.กริม ได้ใบอนุญาต แต่การสั่งซื้อ การนำเข้าก็อยู่ที่กระทรวงพลังงานนั้น เรื่องนี้ กบง. จะพิจารณาว่าจะมีผลกระทบต่อสัญญาซื้อขายก๊าซของ ปตท. หรือไม่ เพราะมีปริมาณก๊าซในอ่าวไทยรวมด้วย หากนำเข้ามาเพื่อใช้กับโรงไฟฟ้าใหม่ก็ไม่มีปัญหา แต่หากเป็นโรงไฟฟ้าที่มีสัญญาซื้อก๊าซอยู่แล้ว หรือในภาคอุตสาหกรรม อาจกระทบ ปตท. ดังนั้น คาดว่า กบง. จะส่งเรื่องให้ กกพ. พิจารณาศึกษาผลกระทบในรายละเอียด โดยเฉพาะผลกระทบค่าไฟ เพื่อพิจารณาว่าจะอนุญาตให้นำเข้าตามที่เอกชน 3 รายต้องการหรือไม่