อีสาน พลิกยุทธศาสตร์ หยิบ เกษตรทฤษฎีใหม่ เป็นทางรอดสู้วิกฤต

อีสาน พลิกยุทธศาสตร์ หยิบ เกษตรทฤษฎีใหม่ เป็นทางรอดสู้วิกฤต

“อีสานคิดใหม่ พร้อมก้าวต่อ” สู้วิกฤตโควิต-19 ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจมุ่งพึ่งพา 3 ปัจจัยสำคัญ เกษตร ท่องเที่ยว นวัตกรรม ผลกระทบน้อยจากท่องเที่ยวต่างชาติ เน้นคนไทย จุดขายศิลปวัฒนธรรม หาแนวพัฒนาเกษตรแบบทันสมัย ขอภาครัฐแก้ไขปัญหาน้ำช่วยสนับสนุน เยียวยาภาคแรงงานให้ถูกจุด เข้าถึงแหล่งทุนง่าย

เวที “คิดใหม่ ไทยก้าวต่อ” ครั้งที่ 2 ภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่จังหวัดขอนแก่น โดยความร่วมมือระหว่าง 8 องค์กรหลัก ได้แก่ ธนาคารแห่งประเทศไทย, สถาบันนโยบายสาธารณะและการพัฒนา, สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์, ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร, มหาวิทยาลัยมหิดล, สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ โดยมูลนิธิปิดทองหลังพระฯ และสำนักข่าวไทยพับลิก้า เป็นผู้ประสานงานโครงการ เพื่อหารูปแบบใหม่ขับเคลื่อนสังคมไทยเพื่อสู้กับวิกฤต

นายประสาท สมจิตรนึก ผู้อำนวยการอาวุโสธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

3 ปัจจัยส่งผลภาวะเศรษฐกิจอีสานชะลอตัว

นายประสาท สมจิตรนึก ผู้อำนวยการอาวุโสธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กล่าวว่า ภาคอีสานมีประชากร 22 ล้านคน เป็นแรงงานนอกระบบ 6.5 ล้านคน เกษตรกร 5.6 ล้านคน พื้นที่และประชากร เป็น 1 ใน 3 ของประเทศ ประมาณ 30% แต่ก่อให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจเพียง 10% เฉลี่ยรายได้ต่อหัว 80,000 บาท/คน ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศที่ 220,000 บาท/คน รายได้หลักประมาณ 60% เป็นภาคบริการ การเกษตร 20% และภาคอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับการเกษตร 19%

แม้พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นด้านการเกษตร แต่การบริหารจัดการน้ำด้านชลประทานทำได้แค่ 10% เกษตรกรต้องพึ่งน้ำฝน เมื่อเกิดภาวะแห้งแล้ง ทำให้ผลผลิตน้อย เกษตรกรขาดรายได้ จึงก่อหนี้เพิ่ม การดูแลด้านแรงงานจึงต้องมุ่งไปที่ภาคการเกษตร

ตั้งแต่ไตรมาสที่ 4 ของปี 2562 เศรษฐกิจอีสานเริ่มหดตัว จาก 3 ปัจจัยหลักคือ การส่งออกหดตัวตามภาวะโลกจากข้อพิพาททางการค้าของจีนและอเมริกา พ.ร.บ.งบประมาณที่อนุมัติล่าช้า และล่าสุดคือ การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

ผลดีจากการล็อกดาวน์เต็มรูปแบบช่วยทำให้ภาวะเศรษฐกิจเริ่มดีขึ้น การหดตัวน้อยลงแม้เศรษฐกิจของภาคอีสานคล้ายกับภาพรวมของประเทศแต่พึ่งพาการท่องเที่ยวต่างประเทศแค่ 2% ส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวในประเทศจึงไม่ได้รับผลกระทบเหมือนที่อื่น “ภาวะเศรษฐกิจของภาคตะวันออกเฉียงเหนือจะมีเสถียรภาพกว่าภาคอื่น”

นายโชคชัย คุณวาสี ที่ปรึกษาอาวุโสหอการค้าจังหวัดขอนแก่น

ปรับวิธีคิดพึ่งตนเองสร้างความเข้มแข็ง

นายโชคชัย คุณวาสี ที่ปรึกษาอาวุโสหอการค้าจังหวัดขอนแก่น กล่าวว่า ทุกวิกฤตมีโอกาส การวางรากฐานพึ่งพาตนเองให้เกิดความเข้มแข็ง หอการค้าจังหวัดภาคอีสานร่วมวางแผนที่จะยกระดับ 3 เรื่องหลักคือ การเกษตร การท่องเที่ยว และนวัตกรรมด้านอาหารอีสาน บูรณาการร่วมกันกับภาครัฐ แต่การแก้ปัญหายังติดในเรื่องของระเบียบของทางราชการ ทำให้ล่าช้า

ด้านการเกษตร ต้องหาหน่วยงานที่สามารถบูรณาการภูมิปัญญาชาวบ้านและความรู้เชิงวิจัยใหม่ๆ เทคโนโลยีใหม่ด้านการเกษตร เกิดองค์ความรู้ใหม่ที่สามารถเพิ่มผลผลิตโดยไม่มีต้นทุน เพราะเกษตรกรทำเองไม่ได้ ส่งเสริมด้านเกษตรอินทรีย์ ลดการใช้สารเคมี ยกระดับมูลค่าสินค้าทางการเกษตร มีการจัดการแหล่งน้ำที่ดี ทางหอการค้าภาคอีสาน 20 จังหวัดได้ขอความร่วมมือจากกรมชลประทานและกรมทรัพยากรน้ำ เพื่อวางแผนบริหารจัดการน้ำ พัฒนาระบบน้ำอย่างโครงการ โขง-ชี-มูล ควรนำมาทำใหม่ เพิ่มการจัดเก็บน้ำให้ภาคเกษตร

“เมื่อมีน้ำ สามารถเพาะปลูกได้ มีองค์ความรู้ในการเพิ่มผลผลิต และสามารถบริโภคได้อย่างปลอดภัย คุณภาพชีวิตก็จะดีขึ้น เมื่อผลิตได้มาก การตลาดและการขนส่งสามารถหาและจัดการได้ ก็สามารถขยายไปสู่ทั่วโลกได้”

ด้านการท่องเที่ยว ภาคอีสานมีแหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ประเพณี จุดเด่นเรื่อง วัดป่า อาหารอีสาน แต่ยังไม่มีการทำให้ชัดเจน ทางหอการค้าฯ กำลังบูรณาการพัฒนาการท่องเที่ยว 7 จังหวัดริมน้ำโขง วางแผนให้เป็นการท่องเที่ยวที่มีคุณภาพและมาตรฐานการท่องเที่ยวโดยชุมชน ทำให้หัตถศิลป์หัตถกรรม เช่น ผ้าไหม ผ้าทอมือ มีมูลค่าสูงขึ้น โดย TCDC ได้เริ่มเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาต่อยอด

สิ่งสำคัญคือเรื่อง คน มาตรการของรัฐต้องแก้ปัญหาแรงงานให้ตรงจุด การลดการจ้างงาน แต่ทำให้ธุรกิจที่ต้องพึ่งแรงงานไปต่อไม่ได้ ช่วง 2-4 ปีนี้คาดการณ์ว่าธุรกิจที่มีศักยภาพจะดำเนินการต่อได้ การลดพนักงานเพื่อลดต้นทุนจึงต้องลดอย่างเป็นระบบ ไม่ใช่ลดแล้วเกิดปัญหาตามมา ภาครัฐต้องจุนเจือในช่วงที่คนตกงาน

เรื่องคนต้องเริ่มที่ปัจจัย 4 ให้รอดแล้วนำเทคโนโลยีมาเสริม ปัจจุบันเทคโนโลยีกลายเป็นฐาน แต่ปัจจัย 4 ยังไม่ครบ ต้องเปลี่ยนความคิดใหม่ ต้องเข้าใจและพัฒนาพื้นฐานให้มั่นคงก่อน โดยเสนอแนวคิดหลักเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้เป็นทางรอด

นายมนตรี ดีมานพ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

Smart Farming ทางออกภาคเกษตร

นายมนตรี ดีมานพ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มองว่า ภาคอีสานมีทรัพยากรมากมายที่ยังไม่ได้นำมาใช้อย่างเต็มที่ อาทิ เกลือโปแตสใต้ดิน ขณะที่การบริหารจัดการน้ำก็เป็นสิ่งสำคัญ น้ำภาคอีสานไม่ขาดมีประมาณ 45,000 ล้านคิว แต่เก็บได้เพียงร้อยละ 17 เนื่องจากพื้นที่เป็นดินทราย การออกแบบแหล่งน้ำต้องเป็นขนาดเล็กในไร่นาไม่ใช่แหล่งน้ำขนาดใหญ่ แต่ขึ้นอยู่กับเกษตรกรจะใช้พื้นที่อย่างไรเพราะส่วนใหญ่ไม่อยากเสียที่นา เนื่องจากการทำนาเป็นวัฒนธรรมวิถีชีวิตที่เป็นเงื่อนไขหนึ่งทางสังคม

การเกษตรต้องเปลี่ยนวิถีเกษตรให้สามารถยกระดับมูลค่าได้ ไม่ใช่ปลูกเพื่อบริโภคอย่างเดียว แต่ต้องเปลี่ยนไปตามโครงสร้างของสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป ต้องปลูกเพื่อแปรรูปเพิ่มมูลค่าตามบริบทโลก โดยใช้งานวิจัยและพัฒนามาช่วยเข้าสู่ Bio Economy ปัจจุบันมหาวิทยาลัยต่างๆ กำลังทำต้นแบบอยู่

หัตถกรรมพื้นถิ่น เช่น ผ้าไหม ต้องหาวิธีจัดการให้มีมูลค่า ตั้งแต่พันธุ์ไหม เส้นไหม ตัวไหม ต้นหม่อน คุณภาพดีเชื่อมโยงกับวัฒนธรรมให้เกิดอัตลักษณ์ ดูที่คุณค่าเชิงวัฒนธรรม ทำเรื่องคุณภาพสินค้าและพัฒนาคนในห่วงโซ่ให้ได้รับประโยชน์เต็มที่

ทั่วโลกกำลังประสบปัญหาสังคมผู้สูงอายุ จากผลิตภาพ (Productivity) ที่ลดน้อยลง สินค้าราคาไม่สูง และขาดทักษะ การเกษตรจึงต้องใช้ Smart Farming ภาคอุตสาหกรรมต้องใช้การ Reskill ถ้าภาคเอกชนไม่ลงทุน ผลิตภาพก็ไม่เกิดตาม ส่วนอัตราการเกิดที่น้อยลง โดยเฉพาะในภาคอีสาน ในอนาคตจะไม่มีแรงงานทดแทนทำให้คนเข้ามาจากต่างพื้นที่ ปัญหาสังคมวัฒนธรรมจะเกิดขึ้น

คุณภาพของคน โดยเฉพาะ IQ ของเด็กก็ลดลงเรื่อยๆ สะท้อนปัญหาการดูแลเด็กตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดาเป็นโจทย์ให้คิดต่อเรื่องโภชนาการของแม่และเด็กตั้งแต่ในครรภ์ กระทรวงสาธารณสุขเองก็คิดในประเด็นนี้ โดยต้องมีระบบจัดการคนที่เป็นแม่ให้สามารถเข้าถึงระบบบริการสุขภาพได้

ผศ.ดร.สุทิน เวียนวิวัฒน์ หัวหน้าโครงการอีสานโพล ศูนย์วิจัยธุรกิจและเศรษฐกิจอีสาน (ECBER) คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น

แรงงานต้องเพิ่มทักษะ

ผศ.ดร.สุทิน เวียนวิวัฒน์ หัวหน้าโครงการอีสานโพล ศูนย์วิจัยธุรกิจและเศรษฐกิจอีสาน (ECBER) คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น กล่าวถึงผลการทำดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคต่อภาวะเศรษฐกิจอีสาน ลดลงมาต่ำกว่า 100 ต่อเนื่อง 12 ไตรมาสก่อนเกิดโควิด-19 ไตรมาส 2 ของปี 2563 ลดลงแรงมาก

แรงงานอาชีพที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด เป็นผู้ใช้แรงงาน ลูกจ้างตามสถานประกอบการด้านบริการ รองลงมาคือ ธุรกิจส่วนตัว ค้าขาย อาชีพอิสระ ถัดมาคือ ด้านเกษตรกรรม

เรื่องที่กังวลว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตคือแรงงานที่ขาดทักษะ เพราะระบบเศรษฐกิจจะหันไปใช้เทคโนโลยีมากขึ้นเพื่อทดแทนผลิตภาพที่โตเร็ว แรงงานที่ไม่สามารถเพิ่มทักษะ จะเกิดปัญหาไม่เป็นที่ต้องการของระบบเศรษฐกิจใหม่ ทำให้มีรายได้น้อย แรงงานภาคการเกษตรมีถึง 1 ใน 3 “น่ากังวลว่าจะเป็นแรงงานที่ระบบเศรษฐกิจไม่ต้องการในอนาคต ภาครัฐจึงต้องมีกลไกช่วยเหลือ”

ทั้งนี้ โครงการ “คิดใหม่ ไทยก้าวต่อ” กำหนดจะออกรับฟังความเห็นครั้งที่ 3 ภาคเหนือที่จังหวัดเชียงใหม่ และครั้งที่ 4 ภาคตะวันออกที่จังหวัดชลบุรี จากนั้นคณะวิชาการจะได้ทำการรวบรวมทั้งงานทางวิชาการและความคิดเห็นของประชาชนเพื่อเสนอต่อรัฐบาลและประชาชนทั่วประเทศได้รับทราบในเดือนพฤศจิกายน