นักวิชาการจี้ รัฐยกเลิกภาษียาสูบ 2 ระดับ หลังพบวิกฤตยาสูบมา 2 ปี

นักวิชาการจี้ รัฐยกเลิกภาษียาสูบ 2 ระดับ หลังพบวิกฤตยาสูบมา 2 ปี แนะ ทบทวนขึ้น 40% อัตราเดียว ในปี 2564

เว็บไซต์ มติชนออนไลน์ รายงานข่าว พญ.เริงฤดี ปธานวนิช ภาควิชาเวชศาสตร์ชุมชน คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี เปิดเผยยอดจำหน่ายบุหรี่ในประเทศไทย จากรายงานของ Euromonitor International พบว่า บริษัท ฟิลลิป มอร์ริส เทรดดิ้ง (ไทยแลนด์) จำกัด ครองแชมป์ตลาดบุหรี่ที่จำหน่ายในประเทศไทยด้วยส่วนแบ่งการตลาดถึงร้อยละ 50 ในปี 2562 (จากเดิมมีส่วนแบ่งการตลาดเพียง ร้อยละ 29 ในปี 2560)

ขณะที่การยาสูบแห่งประเทศไทยมีส่วนแบ่งการตลาดลดลงจากร้อยละ 65 ในปี 2560 เหลือเพียง ร้อยละ 43 ในปี 2562 ซึ่งเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ประเทศไทย ที่บุหรี่ต่างชาติมีส่วนแบ่งการตลาดที่สูงกว่าการยาสูบแห่งประเทศไทย

พญ.เริงฤดี กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นผลกระทบมาจากการปรับโครงสร้างภาษียาสูบเมื่อปี 2560 ที่สร้างระบบภาษี 2 ระดับขึ้นมาโดยให้บุหรี่ราคาไม่เกิน 60 บาทต่อซอง เสียภาษีตามมูลค่าร้อยละ 20 ส่วนบุหรี่ราคาสูงกว่า 60 บาทต่อซอง เสียในอัตราร้อยละ 40

ทำให้บุหรี่ต่างประเทศฉวยโอกาสลดราคาบุหรี่ลง เช่น บุหรี่แอลแอนด์เอ็มที่เคยขายปลีกซองละ 72 บาทลดราคาลงมาเหลือ 60 บาท (ทำให้แอลแอนด์เอ็มมีส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มจากร้อยละ 21 ก่อนปรับโครงสร้างภาษีเป็นร้อยละ 42 ในปี 2562)

พญ.เริงฤดี กล่าวอีกว่า ในขณะที่การยาสูบแห่งประเทศไทยกลับขึ้นราคาบุหรี่ เช่น บุหรี่ SMS ที่เคยขาย 51 บาท ขึ้นราคาเป็น 60 บาท บุหรี่ Wonder จากที่เคยขาย 63 บาท กลับขึ้นราคาเป็น 90 บาท (ส่วนแบ่งการตลาด SMS ลดจากเดิมร้อยละ 39 เหลือร้อยละ 33 และ Wonder ลดจากร้อยละ 14 เหลือเพียงร้อยละ 4)

ผลกระทบจากการปรับอัตราภาษีครั้งนั้น ทำให้การยาสูบฯ มีเงินนำส่งรัฐได้ลดลงกว่าหมื่นล้านบาทต่อปี เมื่อเทียบกับก่อนการปรับโครงสร้างภาษีปี 2560 (ปี 2561 ลดลง 12,814 ล้านบาท ปี 2562 ลดลง 14,098 ล้านบาท) และกำไรของการยาสูบฯ จากที่เคยได้ถึง 9,343 ล้านบาท ในปี 2560 ลดลงเหลือเพียง 843 ล้านบาท ในปี 2561 และ 513 ล้านบาท ในปี 2562

“รัฐบาลควรจะเร่งพิจารณาการยกเลิกโครงสร้างภาษียาสูบ 2 ระดับที่เป็นอยู่ในขณะนี้ทันที เพราะโครงสร้างภาษีที่ใช้อยู่ทำให้การยาสูบแห่งประเทศไทย และชาวไร่ยาสูบวิกฤตมา 2 ปีซ้อนแล้ว การเลื่อนการขึ้นภาษีออกไปอีก 1 ปี จะไม่ทำให้สถานการณ์ดีขึ้น รัฐบาลควรยกเลิกแผนที่จะขึ้นภาษีเป็นร้อยละ 40 อัตราเดียวปีหน้า และกำหนดโครงสร้างอัตราภาษีใหม่ทันที ให้มีประสิทธิภาพลดการบริโภคยาสูบได้จริง และมีผลกระทบต่อรายได้ของรัฐและชาวไร่ยาสูบน้อยที่สุด โดยอาจนำเงินรายได้จากภาษีบางส่วนมาช่วยสนับสนุนชาวไร่ยาสูบในการปลูกพืชทดแทนยาสูบในอนาคต” พญ.เริงฤดี กล่าว

พญ.เริงฤดี กล่าวว่า โดยหลักแล้วการกำหนดโครงสร้างภาษียาสูบ ต้องคำนึงถึงทั้งรายได้ที่รัฐบาลจะได้รับ และผลที่จะทำให้การสูบบุหรี่ลดลง ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าการปรับอัตราภาษีเป็น 2 ระดับ เมื่อปี 2560 มีความผิดพลาด ส่งผลเสียต่อทั้งรายได้ของรัฐและการสูบบุหรี่ก็ไม่ได้ลดลง

การที่รัฐบาลประกาศยืดระยะเวลาการปรับเปลี่ยนโครงสร้างภาษีออกไปอีก โดยอ้างว่าเป็นผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 จะยิ่งเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทบุหรี่ต่างชาติ และเป็นการซ้ำเติมการยาสูบแห่งประเทศไทย และชาวไร่ยาสูบก็จะขายใบยาให้กับการยาสูบฯ ไม่ได้ เดือดร้อนถึงรัฐบาลต้องจัดงบเข้าช่วยเหลือ 2 ปีซ้อน