ผู้บกพร่องทางสายตา 300 คน ร่วมสักการะพระบรมศพ รำลึกถึงเมื่อครั้งทรงสอน “วิชาดนตรี”

สำหรับบรรยากาศช่วงบ่ายของการเข้ากราบถวายสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เบื้องหน้าพระบรมโกศ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง เนื่องด้วยเป็นวัดหยุดสุดสัปดาห์ ประชาชนจากทั่วสารทิศต่างพาครอบครัวมาต่อแถวรอกราบถวายสักการะเนื่องแน่นพื้นที่ท้องสนามหลวง ท่ามกลางอากาศร้อนจัด

ขณะที่เวลา 14.00 น. ผู้บกพร่องทางสายตาจำนวน 300 คนและจิตอาสา 100 คน จากสมาคมนักเรียนเก่าโรงเรียนสอนคนตาบอดกรุงเทพ ภายใต้การดำเนินงานของ มูลนิธิช่วยคนตาบอดแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์ เข้าถวายสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เบื้องหน้าพระบรมโกศ โดยมีสามนักแสดงสาวไอซ์-น.ส.ปรีชญา พงษ์ธนานิก, นิวเคลียร์-น.ส.หรรษา จึงวิวัฒนวงศ์ และน้ำชา-น.ส.ชีรณัฐ ยูสานนท์ ร่วมเป็นจิตอาสา ทั้งนี้ แม้สภาพจะเป็นไปด้วยความทุลักทุเลที่คนตาบอดจะต้องเดินจูงมือกันอย่างช้าๆ โดยมีจิตอาสาคอยดูแลท่ามกลางอากาศร้อน แต่ ใบหน้าต่างก็มีรอยยิ้ม และยังตื่นเต้นที่จะได้เข้ากราบถวายสักการะพระบรมศพ

S__4399346

 

นายช่วง โพธิรัญ อายุ 68 ปี ผู้พกพร่องทางสายตา จากอ.นาเชือก จ.มหาสารคาม มาในฐานะศิษย์เก่าโรงเรียนสอนคนตาบอดกรุงเทพ กล่าวว่า พระองค์ทรงมีพระมหากรุณาที่คุณกับคนพิการ โดยเฉพาะคนตาบอด ครั้งหนึ่งเสด็จฯพร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์ ไปพระราชทานเลี้ยงอาหารที่โรงเรียนสอนคนตาบอดกรุงเทพช่วงปีใหม่ ทรงพระราชนิพนธ์เพลง “ยิ้มสู้”เป็นกำลังให้คนตาบอดที่ภายหลังนำมาให้กำลังใจคนพิการทั้งหมด   นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์มองเห็นและปฏิบัติต่อคนตาบอดเสมือนคนทั่วไป ทำให้ทุกวันนี้คนตาบอดหากมีศักยภาพและความสามารถ มีโอกาสได้เหมือนคนทั่วไป ตั้งแต่เข้าไปเรียนได้ในสถาบันการศึกษาทั่วไป สามารถสอบชิงทุนไปเรียนสถาบันอุดมศึกษาต่างประเทศจนขณะนี้มีคนตาบอดเรียนจบปริญญาเอกเป็นดร.หลายคน นอกจากนี้ยังมีโอกาสทำงานประกอบอาชีพมากขึ้น อย่างตนที่ประกอบอาชีพหมอนวด

นายช่วง

นายช่วง

น.ส.สุชัญญา วิศรุตไภศาล อายุ 17 ปี นักเรียนชั้น ม.6 โรงเรียนศรีอยุธยาในพระอุปถัมภ์ และนายวุฒิชัย แซ่ลี้ อายุ 19 ปี นักเรียนชั้น ม.6 โรงเรียนเซนต์คาเบรียล ร่วมกันกล่าวว่า รู้สึกดีใจมากที่ได้มาสักการะพระบรมศพ นับเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวในชีวิตที่ได้มากราบพระองค์ ตั้งแต่ตอนที่พวกตนยังเด็กก็ได้ทราบข่าวพระราชกรณียกิจต่างๆ จากข่าวพระราชสำนัก ทำให้ทราบว่าพระองค์ทรงงานหนักมาก แม้ว่าพวกตนเป็นผู้พิการทางสายตา แต่พระองค์ยังทรงนึกถึงและไม่ทอดทิ้ง พระองค์ทรงพระราชนิพนธ์เพลง “ยิ้มสู้” เพื่อให้กำลังใจคนตาบอดด้วย ยิ่งทำให้พวกตนรู้สึกสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้

สุชัญญา-วุฒิชัย

สุชัญญา-วุฒิชัย

นายรัชตะ มงคล อุปนายกสมาคมศิษย์เก่าโรงเรียนสอนคนตาบอดฯ กล่าวว่า โรงเรียนสอนคนตาบอดฯ ถือกำเนิดขึ้นมาด้วยแนวพระราชดำริของพระองค์ ที่ทรงเห็นคุณค่าของผู้พิการทางสายตา ที่สามารถมีศักยภาพในการเรียนหนังสือ มิใช่เพียงอยู่บ้านเฉยๆเท่านั้น เพราะเมื่อพวกเขาเหล่านั้นสำเร็จการศึกษาก็จะสามารถดูแลตัวเองและผู้อื่นได้เป็นอย่างดี พระองค์จึงมีพระราชดำริให้จอมพลป.พิบูลสงคราม ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น สร้างโรงเรียนคนตาบอดในกรุงเทพฯ ขึ้นมา

“สมัยก่อนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เสด็จฯไปที่โรงเรียนบ่อยมาก เพื่อไปทรงเยี่ยมเยียนนักเรียนผู้พิการทางสายตา หลายครั้งที่พระองค์โปรดที่จะเล่นกับเด็กๆ โดยทรงส่งสัญญาณมายังอาจารย์ที่สายตาปกติว่าไม่ให้บอกว่าพระองค์คือใคร จากนั้นก็จะทรงใช้พระนามย่อว่า ‘พล’ เล่นกับเด็กๆแทน อีกทั้งยังทรงเป็นพระอาจารย์สอนวิชาดนตรีให้แก่ผู้พิการทางสายตาอีกด้วย”

นอกจากนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อผู้พิการทางสายตาเรื่อยมา ทุกปีจะทรงมีพระราชทานเลี้ยงอาจารย์และนักเรียนผู้พิการทางสายตาที่พระราชวังพญาไท พร้อมทรงเป่าแซกโซโฟนพระราชทานแก่ทุกคน ที่สำคัญด้วยทรงมีพระราชประสงค์อยากให้ผู้พิการทางสายตาทุกคนลุกขึ้นมาต่อสู้กับชีวิตไม่ท้อถอยกับโชคชะตาพระองค์จึงทรงพระราชนิพนธ์บทเพลง “ยิ้มสู้” ขึ้นมาเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้ผู้พิการทุกคนมีกำลังใจในชีวิตต่อไป

นายรัชตะ กล่าวต่อว่า วันนี้ก็ถือเป็นอีกครั้งที่ผู้พิการทางสายตาทุกคนที่เคยได้รับพระมหากรุณาธิคุณ จะมาแสดงความกตัญญูและร่วมถวายอาลัยแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯเป็นครั้งสุดท้ายในฐานะลูกที่ดีของพ่อ จากนี้ต่อไปถึงแม้จะไม่มีพ่ออยู่แล้ว แต่พวกเราทุกคนจะน้อมนำหลักคำสอนและพระราชจริยวัตรของพระองค์มาเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิตต่อไป

“ที่ผ่านมาเราจะเห็นว่าพระองค์ท่านจะมีอาการพระประชวรมากเพียงใดก็ตาม แต่มิเคยหยุดการทรงงานเพื่อประโยชน์และความสุขของประชาชนเลย ดังนั้นพวกเราทุกคนร่างกายไม่ได้ป่วยไข้เพียงแค่มีความบกพร่องทางสายตาเท่านั้น เราจะมุ่งมั่นทำสิ่งที่ดีเพื่อตอบแทนสังคมเท่าที่จะทำได้ ไม่ใช่ทำหน้าที่เป็นเพียงผู้รับเพียงฝ่ายเดียว ต้องเป็นผู้ให้ที่ดีด้วย”       นายรัชตะกล่าวด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่น

รัชตะ

รัชตะ

ขณะที่ น้ำชา เผยความรู้สึกว่า รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับเชิญจาก โครงการแวร์ริ่งแอนด์แชร์ริ่ง ให้มาช่วยเป็นจิตอาสาจูงคนตาบอดเข้าสักการะพระบรมศพ รู้สึกดีและตื้นตันใจมากที่ได้ช่วยคนตาบอดและมีโอกาสได้สักการะพระบรมศพด้วย

“พระองค์ทรงเป็นแบบอย่างที่ดีในการดำเนินชีวิตของชา เวลาชามีปัญหา จะนึกถึงพระองค์เสมอ ทำให้สามารถทำสิ่งที่ดีและถูกต้องได้ ก่อนหน้านี้ชาเคยมาแจกอาหารและน้ำให้ประชาชนที่มาสักการะพระบรมศพ ทำให้ชาได้เห็นความรักของคนไทยที่มีต่อพระมหากษัตริย์ ชารู้สึกปลื้มใจมาก โชคดีที่ได้เกิดมาเป็นคนไทยและได้อยู่ใต้ร่มพระบรมโพธิสมภาร เท่านี้ก็คุ้มค่ากับการเกิดมาแล้ว” น้ำชากล่าวทั้งน้ำตา

ไอซ์-น.ส.ปรีชญา พงษ์ธนานิก กล่าวว่า มาเป็นจิตอาสาช่วยผู้พิการทางสายตาเดินทางมาสักการะพระบรมศพภายใต้โครงการแค่ใส่ก็ได้บุญ (Wearing and Sharing) ซึ่งเป็นโครงการการกุศลที่จัดขึ้นเนื่องในโอกาสที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเจริญพระชนมายุครบ 5 รอบ 2 เมษายน 2558 โดยเริ่มออกเดินทางจากสมาคมศิษย์เก่าโรงเรียนสอนคนตาบอดกรุงเทพตั้งแต่ 8 โมงเช้า ก่อนมาถึงเมื่อประมาณเที่ยง รู้สึกดีใจมากถือเป็นโอกาสดีที่ได้มาเป็นจิตอาสาช่วยนำทางผู้พิการทางสายตาและเข้าถวายสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลมหาภูมิพลอดุลยเดชในวันนี้ ได้เห็นคนไทยรักกันคอยช่วยเหลือกัน ในหลวงทรงอยากให้ทุกคนเป็นคนดีและตั้งใจทำความดี สิ่งมากมายที่พระองค์ทรงทำมาตลอดพระชนม์ชีพ ทำให้เรารู้ว่าเราควรทำอะไรต่อไปในอนาคต เช่นการเดินรอยตามความพอเพียง และการมีสัจจะ เมื่อพูดว่าจะทำอะไรแล้วก็ควรทำให้ได้ เป็นสิ่งเราควรเคารพและเป็นเกียรติให้ตัวเองด้วย

 

ที่มา มติชนออนไลน์