กรมควบคุมโรค เตือน “ชิคุนกุนยา” ระบาดทั่วประเทศ แนะกำจัดยุงลายตัวนำพาหะ

กรมควบคุมโรค เตือน “ชิคุนกุนยา” ระบาดทั่วประเทศ แนะกำจัดยุงลายตัวนำพาหะ

เมื่อวันที่ 18 ก.ค. กรมควบคุมโรค เผยแพร่พยากรณ์โรคและภัยสุขภาพรายสัปดาห์ ระหว่างวันที่ 19-25 ก.ค. 2563 เตือนโรคไข้ปวดข้อยุงลาย หรือ”ชิคุนกุนยา” อาจระบาดเพิ่มมากขึ้น โดยระบุว่า จากการเฝ้าระวังของกรมควบคุมโรค สถานการณ์โรคไข้ปวดข้อยุงลาย หรือโรคชิคุนกุนยา ในปี 2563 พบผู้ป่วยแล้ว 4,307 ราย จาก 62 จังหวัด ไม่มีผู้เสียชีวิต กลุ่มอายุที่พบมากที่สุด 3 อันดับ คืออายุ 25-34 ปี รองลงมาคือ 35-44 ปี และ 45-54 ปี ตามลำดับ

ภาคที่มีอัตราป่วยต่อประชากรแสนคนสูงสุด คือ ภาคกลาง รองลงมาคือ ภาคเหนือ ภาคใต้ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ตามลำดับ จังหวัดที่มีอัตราป่วยสูงสุด 5 อันดับแรก คือ จันทบุรี รองลงมาคือ อุทัยธานี ลำพูน ตราด และระยอง ตามลำดับ จากโปรแกรมตรวจสอบข่าวการระบาดในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา พบการรายงานผู้ป่วยรายใหม่ในพื้นที่ จ.อุทัยธานี

การพยากรณ์โรคและภัยสุขภาพประจำสัปดาห์นี้ คาดว่า ช่วงนี้มีโอกาสจะพบผู้ป่วยโรคไข้ปวดข้อยุงลายเพิ่มขึ้น จากการพบผู้ป่วยกระจายทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไทย และพบผู้ป่วยเป็นกลุ่มก้อนในหลายจังหวัด ซึ่งปัจจุบันพบว่าผู้ป่วยโรคนี้ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะพื้นที่ภาคใต้ สามารถพบผู้ป่วยในภาคอื่นๆ ได้เช่นกัน

ประกอบกับยังมีฝนตกในหลายพื้นที่ต่อเนื่อง ทำให้เอื้อต่อการเกิดแหล่งเพาะพันธุ์ลูกน้ำยุงลายได้ โรคไข้ปวดข้อยุงลาย หรือโรคชิคุนกุนยา เป็นโรคติดต่อนำโดยแมลง มียุงลายเป็นพาหะ ผู้ที่ติดเชื้อจะมีอาการไข้สูง ปวดข้อ ข้อบวมหรือข้ออักเสบ ร่วมกับมีอาการปวดศีรษะ ปวดกระบอกตา ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ มีผื่นหรืออ่อนเพลีย

การป้องกันโรคที่ดีที่สุด คือ การจัดการสิ่งแวดล้อมภายในบ้านและนอกบ้าน ด้วยมาตรการ “3 เก็บ ป้องกัน 3 โรค” คือ เก็บบ้าน เก็บขยะ และเก็บน้ำ เพื่อกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ลูกน้ำยุงลาย ซึ่งเป็นพาหะของโรคไข้เลือดออก โรคติดเชื้อไวรัสซิกา และโรคไข้ปวดข้อยุงลายหรือโรคชิคุนกุนยา นอกจากนี้ ควรป้องกันไม่ให้ถูกยุงลายกัด ด้วยการทายากันยุง กำจัดยุงในบ้าน และการนอนกางมุ้ง

กรมควบคุมโรค ขอแนะนำว่า สถานพยาบาลที่แม้ไม่อยู่ในพื้นที่เสี่ยง ควรมีการเฝ้าระวังโรคไข้ปวดข้อยุงลาย เนื่องจากยุงลายซึ่งเป็นพาหะนำโรคสามารถพบได้ทุกจังหวัด โดยการคัดกรองผู้ป่วยที่มาด้วยอาการ ไข้ ปวดข้อ มีผื่น หรือมีอาการคล้ายไข้เลือดออกแต่เกล็ดเลือดอยู่ในระดับปกติ และเมื่อพบผู้ป่วยควรรายงาน ผู้สงสัยหรือผู้ป่วยต่อหน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่ เพื่อดำเนินการควบคุมโรคอย่างรวดเร็ว