รมว.คลัง สั่ง กรมสรรพสามิต ออกมาตรการทางภาษี ช่วยเหลือแรงงาน-ธุรกิจ ที่เดือดร้อนจากโควิด

รมว.คลัง สั่ง กรมสรรพสามิต ออกมาตรการทางภาษี ช่วยเหลือแรงงาน-ธุรกิจ ที่เดือดร้อนจากโควิด-19

เว็บไซต์ สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์ เผยแพร่ข่าว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง สั่งกรมสรรพสามิตออกมาตรการทางภาษี ช่วยเหลือกลุ่มแรงงานและภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19

โดย นายธนกร วังบุญคงชนะ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้สั่งการให้กรมสรรพสามิต เร่งเยียวยาฟื้นฟูและอำนวยความสะดวกผู้ประกอบอุตสาหกรรมตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 และภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ให้สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้

กรมสรรพสามิต ได้ดำเนินมาตรการที่เป็นประโยชน์ต่อภาคธุรกิจในบางสินค้าเรียบร้อยแล้ว ประกอบด้วย รถยนต์ (ประเภทรถยนต์นั่งสามล้อแบบพลังงานไฟฟ้า) ได้เพิ่มพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิตเพื่อส่งเสริมการลงทุนพัฒนาเทคโนโลยี ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการผลิตในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและการจ้างงาน และส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด โดยกำหนดให้เสียภาษีตามมูลค่าร้อยละ 2 (จากเดิมร้อยละ 4)

ในส่วนของเครื่องดื่มน้ำผลไม้และน้ำพืชผักที่มีการเติมสารอาหารและสารอื่นแก้ไขอัตราส่วนผสมจากร้อยละ 20 เป็นร้อยละ 10 เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมการผลิตเครื่องดื่ม โดยคำนึงถึงนวัตกรรมในปัจจุบัน และให้ผู้บริโภคมีทางเลือกในการบริโภคสินค้าเครื่องดื่มที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ ต่อมาคือสนับสนุนให้สถานบริการคงปริมาณการจ้างงาน เพื่อช่วยเหลือลูกจ้างไม่ให้ตกงาน

โดยสถานบริการที่สามารถพิสูจน์ได้ว่ามีปริมาณการจ้างงานเท่ากับก่อนที่จะมีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 จะได้รับสิทธิ์เสียภาษีอัตราตามมูลค่าร้อยละ 0 ของรายรับของบริการจนถึงวันที่ 30 กันยายน 2563 เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในภาคท่องเที่ยวและบริการ รวมทั้งเพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนจากสถานการณ์ดังกล่าว การขยายเวลาการบังคับใช้อัตราภาษีปัจจุบันของบุหรี่ซิกาแรตและยาเส้นออกไปถึงวันที่ 30 กันยายน 2564 และเลื่อนการบังคับใช้อัตราภาษีใหม่ของบุหรี่ซิกาแรตและยาเส้นออกไป

เริ่มใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2564 เป็นต้นไป ซึ่งจะทำให้ผู้ประกอบอุตสาหกรรมยาสูบและยาเส้นและเกษตรกรผู้ปลูกยาสูบและยาเส้น ได้รับการเยียวยาจากปัญหาการขาดสภาพคล่อง และสุดท้ายคือ การขยายเวลาในการส่งสินค้าที่ได้รับการยกเว้นภาษีออกนอกราชอาณาจักร หรือนำเข้าไปในเขตปลอดอากร จากเดิมภายใน 15 วัน และขยายได้อีก 15 วัน รวมทั้งหมดไม่เกิน 30 วัน เปลี่ยนเป็นภายใน 30 วัน และขยายได้อีก 30 วัน รวมถึงขยายได้หากมีความจำเป็นอีก 60 วัน รวมทั้งหมดไม่เกิน 120 วัน และขยายเวลาในการส่งเอกสารหลักฐานจากเดิมภายใน 60 วัน และขยายได้อีก 60 วัน รวมทั้งหมดไม่เกิน 120 วัน เปลี่ยนเป็นภายใน 90 วัน และขยายได้หากมีความจำเป็นอีก 60 วัน รวมทั้งหมดไม่เกิน 150 วัน