“แผลเป็นจากการตกงาน” ปรากฏการณ์ในสังคมสูงวัย ท่ามกลางวิกฤตโควิด-19

“แผลเป็นจากการตกงาน” ปรากฏการณ์ในสังคมสูงวัย ท่ามกลางวิกฤตโควิด-19

ปัจจุบันประเทศต่างๆ ทั่วโลกกำลังต่อสู้กับวิกฤตโควิด-19 ทั้งทางตรงและทางอ้อม หลายประเทศนั้นอาจดูเสมือนว่าจะผ่านจุดสูงสุดของวิกฤตในด้านจำนวนผู้ติดเชื้อไปแล้ว แต่หลายประเทศ อาทิ สหรัฐอเมริกา บราซิล รัสเซีย และ อินเดีย จำนวนผู้ติดเชื้อยังมีแนวโน้มที่จะเพิ่มสูงขึ้นได้อีกมาก ซึ่งหมายถึงความเสี่ยงที่จะเกิดการระบาดของเชื้อไวรัสโควิดในระดับโลกอีกครั้งเป็นรอบที่สอง หรือแม้กระทั่ง รอบที่สามก็เป็นได้

บทความนี้ คณะผู้เขียนมีความตั้งใจที่จะนำเสนอมุมมองเกี่ยวกับผลกระทบจากวิกฤตโควิด-19 ในมิติของสังคมสูงวัยซึ่งมีความสำคัญเป็นอย่างมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับประเทศที่เข้าสู่ภาวะสังคมสูงวัยแล้ว อาทิ ญี่ปุ่น และหลายประเทศในยุโรป รวมทั้งประเทศไทย

อะไรคือ สังคมสูงวัย

สังคมสูงวัย หมายถึง สังคมที่สัดส่วนประชากรสูงวัย (บางประเทศใช้อายุ 60 ปีขึ้นไป ในขณะที่บางประเทศใช้ อายุ 65 ปีขึ้นไป) ต่อประชากรทั้งหมดอยู่ในระดับสูง สังคมสูงวัย เป็นสังคมที่ต้องดิ้นรนเพื่อผลักดันให้ประเทศมีการเติบโตทางเศรษฐกิจ เนื่องจากสัดส่วนประชากรวัยแรงงานมีแนวโน้มลดลง สวนกระแสกับการเพิ่มขึ้นของสัดส่วนผู้สูงวัย นอกจากนี้ สังคมสูงวัย ยังหมายถึงสังคมที่ผู้สูงวัยจำนวนมากต้องพึ่งระบบประกันสังคมของรัฐ ซึ่งจะกลายเป็นค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ของรัฐบาลอีกด้วย

ในหลายประเทศและรวมถึงประเทศไทย ปัญหาสังคมสูงวัยนั้นมีมาก่อนวิกฤตโควิด-19 มาได้สักระยะแล้ว แต่การระบาดของเชื้อไวรัสโควิดนั้นเปรียบเสมือนเป็นตัวเร่งให้ปัญหาสังคมสูงวัยทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นไปอีกในหลายประเด็น ดังนั้น การวิเคราะห์ผลกระทบของวิกฤตโควิด-19 ในมิติของสังคมสูงวัย จึงมีความสำคัญ เพราะจะทำให้เข้าใจมากขึ้นถึงผลกระทบทางสังคมและทางเศรษฐกิจ ซึ่งจะทำให้สามารถออกมาตรการในการรองรับและบรรเทาผลกระทบที่ครอบคลุมและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

สำหรับผลกระทบทางสังคมและทางเศรษฐกิจ ประการแรก คือ ผลกระทบต่อตลาดแรงงานและความสามารถในการผลิตในส่วนของแรงงานสูงวัย เป็นที่ทราบกันดีว่า มาตรการการเว้นระยะห่างทางสังคมส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อตลาดแรงงานและความสามารถในการผลิต โดยเหตุผลสำคัญประการหนึ่งก็คือ อาชีพจำนวนมากไม่สามารถประยุกต์ใช้มาตรการการเว้นระยะห่างทางสังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะรูปแบบการทำงานของอาชีพนั้นจำเป็นต้องทำงานอย่างใกล้ชิดกับผู้อื่น เพื่อให้งานออกมาอย่างมีคุณภาพและมีประสิทธิภาพที่ดี แม้ว่าตอนนี้หลายประเทศได้เริ่มลดระดับมาตรการการเว้นระยะห่างทางสังคมไปบ้างแล้ว แต่กลุ่มแรงงานสูงวัยมักจะเป็นกลุ่มสุดท้ายที่ได้รับอนุญาตให้กลับเข้าไปทำงาน ทั้งจากความสมัครใจของผู้สูงวัยเอง หรือจากนโยบายของรัฐ (อาทิเช่น กรณีที่ผู้ว่ารัฐนิวยอร์ก ได้แนะนำให้เริ่มต้นการเปิดเมือง โดยเริ่มจากแรงงานวัยหนุ่มสาวก่อน) เพราะกลุ่มแรงงานสูงวัยมีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตจากการติดเชื้อโควิด-19 ที่สูงกว่าประชากรในวัยอื่น

ดังนั้น แรงงานสูงวัยอาจจะต้องรอจนถึงวันที่การผลิตวัคซีนป้องกันเชื้อโควิด-19 เกิดขึ้นอย่างแพร่หลายถึงจะสามารถกลับเข้าสู่ตลาดแรงงานได้อีกครั้งก็เป็นได้ และหากอ้างอิงข้อมูลจาก The Census Population Survey ของสหรัฐอเมริกา จะพบว่าในปี พ.ศ. 2562 แรงงานที่มีอายุมากกว่า 55 ปีนั้นมีมากกว่า 36 ล้านคน ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนที่สูงถึง 23 เปอร์เซ็นต์ และ กว่า 90 เปอร์เซ็นของการเพิ่มขึ้นของการจ้างงานในประเทศสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2541 มาจากการจ้างงานในกลุ่มประชากรสูงวัยทั้งนั้น ดังนั้นประชากรสูงวัยที่ยังมีสุขภาพดี มีการศึกษาดี และมีประสิทธิผลในการทำงานสูง ยังถือเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เจริญเติบโต

นอกจากนี้ งานวิจัยชั้นนำทางเศรษฐศาสตร์หลายชิ้นยังพบว่า การตกงานเป็นเวลานานของผู้สูงวัย จะทำให้เกิดปรากฏการณ์ “Unemployment Scarring” หรือ ปรากฏการณ์แผลเป็นจากการตกงาน ซึ่งเกิดจากการที่แรงงานสูงวัยได้สูญเสียทักษะที่สำคัญในการทำงานไป เนื่องจากการตกงานเป็นระยะเวลานาน และอาจจะทำให้แรงงานเหล่านี้ไม่สามารถกลับเข้าสู่ตลาดแรงงานได้อีกเลย ทั้งนี้ ก่อนวิกฤตโควิด-19 หลายประเทศทั่วโลกมีนโยบายที่จะส่งเสริมให้ผู้สูงวัยกลับเข้าร่วมในตลาดแรงงานเพื่อลดผลกระทบจากการขาดรายได้ของผู้สูงวัยและลดภาระของรัฐสำหรับค่าใช้จ่ายจากสวัสดิการต่างๆ ของผู้สูงวัย แต่ทว่าการแยกผู้สูงวัยออกจากภาคเศรษฐกิจนั้นจะทำให้มาตรการส่งเสริมผู้สูงวัยในตลาดแรงงานไม่สามารถทำได้

ผลกระทบทางสังคมและทางเศรษฐกิจประการที่สอง คือ ปัญหาหนี้สาธารณะจากการรับมือกับวิกฤตโควิด-19 ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า ประเทศที่มีสัดส่วนประชากรสูงวัยในระดับที่สูง มักจะมีค่าใช้จ่ายของรัฐบาลและหนี้สาธารณะที่เกิดขึ้นจากสวัสดิการสำหรับผู้สูงวัยในระดับที่สูงอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม การรับมือวิกฤตโควิด-19 นั้น อาจจะทำให้ค่าใช้จ่ายของรัฐบาลและหนี้สาธารณะสูงขึ้นอีกหลายเท่าตัว เพราะประเทศที่มีสัดส่วนประชากรสูงวัยในระดับสูงจะมีอัตราการเสียชีวิตหรือการป่วยในขั้นวิกฤตของประชากรจากโรคโควิด-19 ในระดับที่สูงมากเช่นกัน อาทิ ประเทศอิตาลี ที่มีสัดส่วนประชากรสูงวัย สูงถึงร้อยละ 23 และ ประเทศสเปน ที่มีสัดส่วนประชากรสูงวัย สูงถึงร้อยละ 19.6 ประเทศเหล่านี้มีอัตราการเสียชีวิตของประชากรจากโรคโควิด-19 ในระดับที่สูงมาก โดยอ้างอิงรายงานของ เว็บไซต์ worldometers ซึ่งรายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทั่วโลก พบว่า ประเทศอิตาลีและประเทศสเปนมีอัตราการเสียชีวิตของประชากรจากโรคโควิด-19 ในอัตราที่สูงกว่าร้อยละ 10 ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ประเทศเหล่านี้จะต้องใช้ทรัพยากรและงบประมาณทางการแพทย์เป็นจำนวนมาก แม้ว่าจะไม่สามารถรักษาชีวิตพวกเขาไว้ได้ก็ตาม

นอกจากนี้ ประเทศต่างๆ ทั่วโลกยังมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ จากการรับมือวิกฤตโควิด-19 ของรัฐบาลอีกเป็นจำนวนมาก อาทิ กรณีสภาคองเกรสของสหรัฐอเมริกาผ่านกฎหมาย The Coronavirus Aid, Relief, and Economic Security Act หรือ CARES Act ที่มีงบประมาณช่วยเหลือกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์ และ ถ้าหากอ้างอิงข้อมูลจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF จะพบว่า ถ้ารวมทุกประเทศทั่วโลกในขณะนี้ ประเทศต่างๆ ได้ผ่านงบประมาณช่วยเหลือจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 รวมกันแล้วกว่า 9 ล้านล้านดอลลาร์เลยทีเดียว (Battersby และ คณะ, 2020)

และผลกระทบทางสังคมและทางเศรษฐกิจประการที่สาม คือ ปัญหาสุขภาพจิตใจของผู้สูงวัยจากการถูกแยกออกจากภาคเศรษฐกิจและสังคม โดยสาเหตุสำคัญที่จะต้องแยกผู้สูงวัยก็เป็นเพราะผู้สูงวัยมีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตจากการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 มากกว่าประชากรในวัยอื่น โดยงานวิจัยของ Armitage และ Nellums (2020) พบว่า การที่ผู้สูงวัยถูกแยกออกจากภาคเศรษฐกิจและสังคม โดยให้อยู่บ้านเพื่อลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 จะทำให้ผู้สูงวัย มีสุขภาวะทางจิตที่แย่กว่าและมีโอกาสเกิดโรคซึมเศร้าได้สูง ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคที่อาจจะตามมาอีกหลายประการ นอกจากนี้ผู้สูงวัยจำนวนไม่น้อย “ไม่มีลูกหลาน” คอยดูแล ผู้สูงวัยจำนวนมากที่ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 หรือ ผู้สูงวัยจำนวนมากที่ถูกแยกออกจากภาคเศรษฐกิจและสังคมโดยให้อยู่บ้านเพื่อลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 อาจจะไม่มีลูกหลานคอยช่วยเหลือดูแลทั้งทางด้านการเงินและทางด้านจิตใจ

บทสรุป

โดยปกติสังคมสูงวัย ถือเป็นสังคมที่ต้องดิ้นรนเพื่อผลักดันให้ประเทศมีการเติบโตทางเศรษฐกิจด้วยตัวของมันเองอยู่แล้ว การมาของวิกฤตโควิด-19 นั้น จะยิ่งฉุดให้ประเทศต้องดิ้นรนเพิ่มขึ้นไปอีกหลายเท่าตัว ไม่ว่าจะเป็นปัญหาในด้านความสามารถในการผลิตที่ลดลงในส่วนของแรงงานสูงวัย ปัญหาหนี้สาธารณะที่สูงขึ้นจากการรับมือวิกฤตโควิด-19 หรือ ปัญหาสุขภาพจิตของผู้สูงวัยที่เลวร้ายลงจากการถูกแยกออกจากภาคเศรษฐกิจและสังคม

อย่างไรก็ดี การยอมรับว่าปัญหามีอยู่จริง ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี สำหรับการรับมือปัญหาต่างๆ อย่างยั่งยืน