สมาคมเกษตรฯ ผิดหวังไร้ทางออก โอดทิ้งภาระให้เกษตรกร

สมาคมเกษตรฯ ผิดหวังไร้ทางออก โอดทิ้งภาระให้เกษตรกร

มติของคณะกรรมการวัตถุอันตราย เมื่อวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2563 ได้กำหนดให้ 2 สารเคมีทางการเกษตร ได้แก่ พาราควอต และคลอร์ไพริฟอส เป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 ห้ามใช้และห้ามครอบครอง จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2563 โดยมอบหมายให้กรมวิชาการเกษตรไปหาสารทดแทนใหม่ และนำเสนอให้คณะกรรมการฯ พิจารณาใหม่อีกครั้ง

นายสุกรรณ์ สังข์วรรณะ นายกสมาคมเกษตรปลอดภัย เปิดเผยว่า ประเด็นสารเคมีเกษตรได้เคยนำเสนอข้อมูลให้แก่คณะกรรมการวัตถุอันตราย นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องหมดแล้ว ในที่ประชุมร่วมกับเกษตรกร รมช.เกษตรฯ บอกเสมอว่า กรมวิชาการเกษตรยังหาสารทดแทนไม่ได้ ซึ่งเกษตรกรก็พูดไปหลายครั้งแล้วว่า ปัจจุบันยังไม่มีสารทดแทนหรือเครื่องมือใดที่จะมาทดแทนสารพาราควอตได้ ทั้งในแง่ประสิทธิภาพและราคา สารเคมีเกษตรอื่นๆ เช่น ไกลโฟเซต กลูโฟซิเนต ก็ไม่สามารถนำมาใช้แทนพาราควอตได้ เพราะคุณสมบัติต่างจากสารพาราควอตอย่างสิ้นเชิง ส่วนสารชีวภัณฑ์สำหรับกำจัดวัชพืช กรมวิชาการเกษตรก็ได้ออกมาชี้แจงแล้วว่ามีปลอมปนพาราควอตเข้าไปด้วย และยังไม่มีสารชีวภัณฑ์กำจัดวัชพืชใดได้ขึ้นทะเบียน”

นอกจากนี้ ในที่ประชุมของคณะกรรมการวัตถุอันตราย นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ในฐานะประธานคณะกรรม การฯ ได้ชี้แจงถึงแนวทางการช่วยเหลือและเยียวยาโดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ด้วยการประกันราคาและการขออนุมัติงบประมาณเพิ่มเติมนั้น เป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ไม่ใช่การแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน เพราะการนำงบประมาณแผ่นดินมาให้เกษตรกร เพื่อใช้ซื้อสารเคมีเกษตรในการเพาะปลูกเพิ่มขึ้น ผู้ที่ได้รับประโยชน์คือ บริษัทผู้ค้าและร้านค้าสารเคมีเกษตร ส่วนเกษตรกรยังต้องใช้สารเคมีเช่นเดิม แถมฉีดพ่นบ่อยขึ้น จ้างแรงงานเพิ่มขึ้น หากเป็นเช่นนี้เกษตรกรจะไหวได้อย่างไร และที่บอกว่าอาจให้กระทรวงสาธารณสุขปรับกฎระเบียบสารตกค้าง เพื่อให้สามารถนำเข้าถั่วเหลืองได้ หากดำเนินการจริง ก็เป็นการเอื้อกลุ่มนายทุนนำเข้ากลุ่มเดียว และแก้ปัญหาเพียงด้านเดียวให้เฉพาะกลุ่มผู้นำเข้าถั่วเหลืองเท่านั้น ทั้งนี้ การปรับค่าสารตกค้างดังกล่าวให้สูงขึ้นเป็นกรณีพิเศษจริง ย่อมแสดงว่า ที่ผ่านมา กระทรวงสาธารณสุข และ NGO กำลังพูดไม่จริงเรื่องที่ห่วงใยผู้บริโภคคนไทย ถ้าเป็นเช่นนี้ ควรแบนไกลโฟเซตไปด้วยเลย

การปรับค่าสารตกค้างไกลโฟเซตให้สูงขึ้นเพื่อให้อเมริกาและบราซิลส่งถั่วเหลือง ผู้นำเข้าก็จะได้ไม่มีปัญหา เป็นเพียงการหาเหตุผลเพื่อใช้ยกเลิกสารเคมีเกษตรบางรายการ โดยกระทรวงสาธารณสุข และ NGO ไม่ได้ห่วงใยผู้บริโภคอย่างแท้จริงอยู่แล้ว และที่สำคัญ ไม่ได้มองผลกระทบต่อเกษตรกรไทย อุตสาหกรรมการเกษตร และอุตสาหกรรมการส่งออกของไทย เมื่อมีการปรับค่าสารตกค้าง เกษตรกรไม่สามารถยอมรับได้ เพราะเท่ากับว่ามีการปฏิบัติสองมาตรฐาน

สำหรับมาตรการจำกัดการใช้สารเคมีเกษตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ระบุว่า ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะเกษตรกรไม่ให้ความร่วมมือ และยังมีปัญหาในทางปฏิบัตินั้น ในความเป็นจริง เกษตรกรให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ เห็นได้จากการเข้าร่วมอบรมความรู้การใช้สารกำจัดวัชพืชตามหลักสูตรของกรมวิชาการเกษตรและมาตรการจำกัดการใช้ไปแล้วกว่า 500,000 ครัวเรือนเกษตร แต่โครงการดังกล่าว เพิ่งเริ่มต้นในวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2562 เปิดให้เกษตรกรทั่วประเทศเข้าอบรมในระยะเพียงไม่กี่เดือน และยังดำเนินการไม่แล้วเสร็จ เหลือเกษตรกรอีกกว่า 1 ล้านครัวเรือนที่รอการอบรม แต่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กลับบอกว่าไม่ประสบความสำเร็จ ท่านควรไปหาข้อมูลมาว่าที่ไม่ประสบผลสำเร็จเพราะหน่วยงานราชการที่สร้างเงื่อนไข แล้วปฏิบัติไม่ได้ หรือเป็นเพราะเกษตรกร

“สมาคมเกษตรปลอดภัยและเครือข่าย อยากให้เรียกร้องให้ท่านนายกรัฐมนตรีหามาตรการลดผลกระทบให้เกษตรกรโดยด่วน หากยังยืนยันจะออกประกาศกระทรวงฯ ให้สารพาราควอตเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 รัฐ มนตรีที่เกี่ยวข้องต้องออกมาบอกว่าจะให้เกษตรกรทำอย่างไรกับฤดูการปลูกที่จะถึง จะให้อุตสาหกรรมต่างๆ ทำอย่างไรมากกว่าที่จะตั้งงบเยียวยาช่วยเหลือเกษตรกร เพราะพวกเราไม่ต้องการให้ท่านเอาภาษีของประ ชาชนมาอุ้มเกษตรกรในเรื่องนี้ เพราะมันต้องใช้งบประมาณมหาศาล หน้าที่ของท่านคือต้องช่วยให้เกษตรกรประกอบอาชีพและดำเนินชีวิตอยู่ได้อย่างเข้มแข็ง ดีกว่าให้เกษตรกรไปหาวิธีการเองไปตายเอาดาบหน้า และผมขอบอกไปถึงเกษตรกรทุกคน อย่าไปหลงเชื่อพวกบริษัทขายสารเคมีว่ามีสารทดแทนพาราควอตได้ และขอเตือนทุกบริษัทอย่าหากินกับความยากลำบากของเกษตรกร ส่วนบรรดาผู้นำเข้าถั่วเหลืองหรืออาหารทั้งหลาย ก็ให้คิดถึงเกษตรกรด้วย อย่ามองแต่ตนเองฝ่ายเดียว” นายสุกรรณ์ กล่าว