แกร็บ ใจดีลดค่าคอมฯให้-เปิดร้านได้ใน 7 วัน พร้อมรับสมัครงานเพิ่ม 35,000 อัตรา 

วิกฤตโควิด-19 ดันยอดคนอยากเปิดร้านบนแกร็บฟู้ดพุ่ง 3 เท่าตัว หรือราว 2,000 ร้านค้าต่อวัน ล่าสุด! แกร็บ ใจดีลดค่าคอมฯให้ พร้อมอำนวยความสะดวกสามารถเปิดร้านบนแอพได้ใน 7 วัน ทั้งกรุงเทพฯ ต่างจังหวัด พร้อมเปิดรับสมัครงานเพิ่ม 35,000 อัตรา 

 

แกร็บ ผู้นำซูเปอร์แอพในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ร่วมส่งต่อกำลังใจและเดินหน้าสู้ไปพร้อมกับคนไทยเพื่อฝ่าวิกฤตโควิด-19 ผ่านโครงการ “แกร็บแคร์” (GrabCares) #เราจะผ่านมันไปด้วยกัน เพื่อประกาศมาตรการในการรับมือ รวมถึงแนวทางในการบรรเทาความเดือดร้อนและให้ความช่วยเหลือกับ 4 กลุ่มเป้าหมายหลัก คือ 1. พาร์ตเนอร์ร้านอาหาร 2. หน่วยงานราชการและบุคลากรทางการแพทย์ 3. พาร์ตเนอร์คนขับ-จัดส่งอาหาร 4. ผู้ใช้บริการ ด้วยการปรับลดค่าคอมมิสชั่นสำหรับพาร์ตเนอร์ร้านอาหารสูงสุดจาก 35% เป็น 30% รวมถึงเร่งขั้นตอนการเปิดร้านบนแกร็บฟู้ดให้ได้ภายใน 7-10 วัน พร้อมเปิดรับพาร์ตเนอร์จัดส่งอาหาร-พัสดุกว่า 64,000 อัตรา และเปิดให้พาร์ตเนอร์คนขับให้บริการจัดส่งอาหารด้วยรถยนต์ได้

นอกจากนี้ ยังตอกย้ำมาตรการรักษาความสะอาดเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคและสนับสนุนหน่วยงานด้านสาธารณสุขเพื่อแบ่งเบาภาระของบุคลากรทางการแพทย์ เพื่อให้คนไทยสามารถก้าวผ่านวิกฤตโควิด-19 ไปพร้อมกัน

นายธรินทร์ ธนียวัน กรรมการผู้จัดการใหญ่ แกร็บ ประเทศไทย กล่าวว่า แกร็บได้เฝ้าติดตามและประเมินสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือโควิด-19 อย่างใกล้ชิด ล่าสุด แกร็บ ประเทศไทย เปิดตัวโครงการ แกร็บแคร์ (GrabCares) #เราจะผ่านมันไปด้วยกัน โดยประกาศมาตรการในการรับมือ รวมถึงแนวทางสนับสนุนและให้ความช่วยเหลือกับ 4 กลุ่มเป้าหมายหลัก 

กลุ่มที่ 1: พาร์ตเนอร์ร้านอาหารและผู้ประกอบการรายย่อย
1.1) ให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยที่ต้องการสร้างรายได้ผ่านการขายอาหารกับแกร็บฟู้ด
• ปรับลดเพดานค่าคอมมิสชั่นสำหรับพาร์ตเนอร์ร้านอาหาร (ไม่รวม GrabKitchen) สูงสุดจาก 35% เป็น 30% ครอบคลุมทั้งร้านค้าเดิมและร้านค้าใหม่ เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับผู้ประกอบการ โดยเริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 1 เมษายนเป็นต้นไป

• ปรับปรุงระบบและกระบวนการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรับสมัครพาร์ตเนอร์ร้านอาหาร โดยใช้การรับสมัครผ่านทางเว็บไซต์ https://www.grabmerchantth.com พร้อมเพิ่มจำนวนทีมงานมากขึ้นกว่าเท่าตัวเพื่อรองรับการรับสมัครและการเปิดร้านค้าให้เข้ามาอยู่บนแพลตฟอร์มแกร็บฟู้ดให้เร็วที่สุด

โดยปัจจุบันมีผู้ประกอบการร้านอาหารรายย่อยสมัครเข้ามาเฉลี่ยราว 2,000 ร้านค้าต่อวัน ซึ่งสูงขึ้นกว่าภาวะปกติถึง 3 เท่า ทั้งนี้ แกร็บตั้งเป้าเร่งขั้นตอนรับสมัครและเปิดร้านค้าให้ได้ภายใน 7-10 วัน (จากเดิม 14 – 21 วัน)

1.2) เร่งขยายการให้บริการจัดส่งอาหารเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการในต่างจังหวัด
• โดยในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา (มกราคม – มีนาคม) แกร็บฟู้ดได้เปิดให้บริการเพิ่มขึ้นใน 8 จังหวัด อันได้แก่ ชลบุรี ระยอง นครปฐม สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ลำปาง อุตรดิตถ์ และมหาสารคาม พร้อมตั้งเป้าเปิดบริการเพิ่มอีก 9 จังหวัดในสามเดือนข้างหน้า อาทิ ราชบุรี เพชรบุรี สุรินทร์ หนองคาย เป็นต้น

1.3) จัดแคมเปญเพื่อส่งเสริมพาร์ตเนอร์ร้านอาหาร SME
• ทำแคมเปญ “Support Local Restaurants” เพื่อช่วยโปรโมตพาร์ตเนอร์ร้านอาหาร โดยเฉพาะร้านขนาดเล็กหรือเป็นผู้ประกอบการรายย่อย เพื่อให้เป็นที่รู้จักและได้รับความสนใจจากผู้ใช้บริการมากขึ้น ซึ่งจะช่วยกระตุ้นและสร้างการเติบโตในด้านยอดขายได้ถึง 6 เท่าเมื่อเทียบกับอัตราการเติบโตปกติ

กลุ่มที่ 2: หน่วยงานราชการและบุคลากรทางการแพทย์
2.1) ร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐในการตั้งรับ ป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
• ประสานความร่วมมือกับกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ในการแชร์ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ ซึ่งรวมถึงข้อมูลการเดินทางของผู้ป่วยต้องสงสัย เนื่องจากแกร็บมีระบบเช็กประวัติการเดินทางของทั้งพาร์ตเนอร์คนขับ-ผู้จัดส่งอาหาร รวมถึงผู้ใช้บริการในทุกเที่ยวการเดินทาง ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการตรวจสอบข้อมูลย้อนหลัง

2.2) สนับสนุนกิจกรรมของหน่วยงานด้านสาธารณสุข พร้อมส่งมอบกำลังใจไปสู่บุคลากรทางการแพทย์
• มอบส่วนลดค่าส่งเมื่อสั่งอาหารผ่านแกร็บฟู้ดให้กับข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของกรมควบคุมโรค ตลอดจนบุคลากรทางการแพทย์ของโรงพยาบาลรัฐ 7 แห่ง อันได้แก่ สถาบันบำราศนราดูร สถาบันราชประชาสมาสัย โรงพยาบาลรามาธิบดี โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ โรงพยาบาลราชวิถี โรงพยาบาลศิริราช และ โรงพยาบาลศิริราชปิยมหาราชการุณย์ ตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคมจนถึง 30 มิถุนายน

• สนับสนุนโรงพยาบาลของรัฐในการจัดส่งยาผ่านบริการแกร็บเอ็กซ์เพรส (GrabExpress) ให้กับผู้ป่วยถึงบ้าน เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกและลดความเสี่ยงจากการเดินทางให้กับผู้ป่วย อาทิ โรงพยาบาลตำรวจ และโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ (อยู่ระหว่างดำเนินการ)
• ส่งเสริมการบริจาคผ่านการใช้แต้มของแกร็บรีวอร์ดส์ เพื่อสมทบทุนในโครงการป้องกันและช่วยเหลือสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 อาทิ มูลนิธิรามาธิบดี

กลุ่มที่ 3: พาร์ตเนอร์คนขับและจัดส่งอาหาร-พัสดุ
3.1) ส่งเสริมอาชีพและสร้างรายได้เสริมให้กับคนไทย
• เปิดรับสมัครพาร์ตเนอร์ผู้จัดส่งอาหาร-พัสดุเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อเปิดโอกาสในการสร้างรายได้เสริมให้กับคนไทยในภาวะชะงักงันทางเศรษฐกิจ โดยในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา (กุมภาพันธ์ – มีนาคม) แกร็บได้รับพาร์ตเนอร์เพิ่มขึ้นแล้วกว่า 29,000 คน และเตรียมเปิดรับเพิ่มอีกกว่า 35,000 อัตราในเดือนเมษายนนี้ เพื่อให้สามารถรองรับการให้บริการกับคนไทยที่ไม่ต้องการเดินทางออกจากบ้านตามมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมได้

• เปิดให้พาร์ตเนอร์คนขับแกร็บคาร์และแกร็บแท็กซี่สามารถรับงานจัดส่งอาหารผ่านรถยนต์แทนบริการการเดินทางได้ เพื่อเป็นการปลดล็อกการสร้างรายได้ให้กับพาร์ตเนอร์คนขับกลุ่มนี้ ซึ่งได้รับผลกระทบจากการลดจำนวนของนักท่องเที่ยวต่างชาติ รวมถึงผู้โดยสารภายในประเทศ โดยแกร็บได้เริ่มนำร่องบริการจัดส่งอาหารผ่านรถยนต์ตั้งแต่วันที่ 25 มีนาคมที่ผ่านมาในกรุงเทพฯ นครปฐมและชลบุรี โดยมีพาร์ตเนอร์คนขับเข้าร่วมแล้วมากกว่า 10,000 คน

• จัดทำโปรแกรมผ่อนปรนเงื่อนไขการชำระหนี้เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในช่วงวิกฤตโควิด-19 โดยนำเสนอทางเลือกในหลายรูปแบบให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจ อาทิ การพักชำระหนี้ การปรับลดค่างวดเป็นแบบขั้นต่ำ การขยายระยะเวลาสินเชื่อ และการชำระคืนเฉพาะดอกเบี้ย เป็นต้น


3.2) ปกป้องดูแลสุขภาพอนามัยและความปลอดภัยของพาร์ตเนอร์
• แจกหน้ากากอนามัยกว่า 50,000 ชิ้น สเปรย์ฆ่าเชื้อในอากาศ และเจลแอลกอฮอล์ล้างมือกว่า 3,000 ชิ้นให้กับพาร์ตเนอร์นับตั้งแต่ช่วงปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา ทั้งยังได้มอบส่วนลด 50% ในการเข้ารับบริการพ่นอบฆ่าเชื้อภายในรถยนต์ นอกจากนี้ ยังเตรียมจัดหาหน้ากากผ้าเพิ่มเติมให้กับพาร์ตเนอร์อย่างต่อเนื่องเพื่อทดแทนหน้ากากอนามัยที่กำลังขาดแคลนอยู่ในขณะนี้

• ร่วมมือกับกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข จัดกิจกรรมตรวจสุขภาพและฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันไข้หวัดใหญ่ให้กับพาร์ตเนอร์คนขับแกร็บแท็กซี่กว่า 3,000 รายโดยไม่มีค่าใช้จ่าย พร้อมให้คำแนะนำในการดูแลสุขภาพโดยบุคลากรทางการแพทย์ในระหว่างเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา นอกจากนี้ แกร็บยังได้สนับสนุนค่าใช้จ่ายในการตรวจเชื้อมูลค่า 500 บาทสำหรับพาร์ตเนอร์คนขับที่มีความเสี่ยง พร้อมมอบเงินช่วยเหลือในกรณีพิเศษอีก 2,000 บาทหากตรวจพบว่าป่วยเป็นโรคโควิด-19

• ร่วมกับเมืองไทยประกันชีวิต ทำประกันชีวิตและสุขภาพกลุ่มเพื่อคุ้มครองรายได้ให้กับพาร์ตเนอร์คนขับและพาร์ตเนอร์ผู้จัดส่งอาหาร-พัสดุ โดยมอบเงินชดเชย 500 บาทต่อวัน สูงสุด 15 วันเมื่อเข้าพักรักษาตัวหากป่วยเป็นโรคโควิด-19

กลุ่มที่ 4: ผู้ใช้บริการ
4.1) เพิ่มมาตรการในด้านความปลอดภัยเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้ใช้บริการ
• ทำแคมเปญสื่อสารเพื่อให้ความรู้และกระตุ้นความใส่ใจในการดูแลสุขภาพและการรักษาความสะอาดระหว่างการให้บริการของพาร์ตเนอร์คนขับและผู้จัดส่งอาหารอย่างต่อเนื่อง พร้อมส่งเสริมพาร์ตเนอร์ร้านอาหาร รวมถึง GrabKitchen ซึ่งเป็นครัวกลางของแกร็บทั้ง 2 สาขา เพื่อให้รักษามาตรฐานด้านความปลอดภัยและสุขอนามัยในการปรุงอาหาร นอกจากนี้ ยังได้ให้ความร่วมมือกับกรุงเทพมหานครในการส่งเสริมให้มีการตรวจวัดอุณหภูมิของพาร์ตเนอร์ผู้จัดส่งอาหารก่อนที่จะเข้าไปในพื้นที่ของร้านอาหารทั่วกรุงเทพฯ
• ประกาศใช้มาตรการส่งอาหาร-พัสดุแบบไร้การสัมผัส (Contactless Delivery) โดยให้พาร์ตเนอร์ผู้จัดส่งอาหารต้องเว้นระยะห่างกับลูกค้าอย่างน้อย 2 เมตรตลอดเวลา พร้อมส่งเสริมให้พาร์ตเนอร์ผู้จัดส่งอาหารปฏิบัติตามแนวทาง 8 ข้อในการจัดส่งอาหารอย่างปลอดภัย ตามประกาศของกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข นอกจากนี้ ยังออกมาตรการให้พาร์ตเนอร์ยืนห่างกันไม่น้อยกว่า 1 เมตร ระหว่างรออาหารที่หน้าร้าน
• ส่งเสริมให้ผู้ใช้บริการชำระค่าบริการผ่านบัตรเครดิตหรือกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (E-Wallet) แทนการใช้เงินสด เพื่อหลีกเลี่ยงการสัมผัสเงินสด นอกจากนี้ แกร็บยังได้ร่วมมือกับธนาคารต่างๆ ในการทำโปรโมชั่นเพื่อส่งเสริมให้ผู้ใช้บริการหันมาใช้ชำระเงินผ่านระบบดิจิตอลมากขึ้น โดยในช่วงที่ผ่านมาพบว่า ยอดสั่งอาหารผ่านแกร็บฟู้ดโดยไม่ใช้เงินสด (Cashless Payment) เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว

4.2) เพิ่มความสะดวกให้ผู้ใช้บริการในการสั่งซื้อสินค้าที่จำเป็นผ่านแกร็บ
• เปิดบริการแกร็บมาร์ท (GrabMart) เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้บริโภคในการสั่งซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น (จากเดิมที่มีฟีเจอร์ Groceries ซึ่งเป็นบริการสั่งซื้อและจัดส่งสินค้าจากท็อปส์ ซูเปอร์มาร์เก็ต และแฮปปี้เฟรช) โดยแกร็บได้จับมือกับเซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล เพื่อให้ผู้ใช้บริการสามารถสั่งซื้ออาหาร รวมถึงสินค้าที่จำเป็นจากแฟมิลี่มาร์ท โดยเริ่มให้บริการในเฟสแรกไปแล้วตั้งแต่วันที่ 27 มีนาคม ครอบคลุมกว่า 230 สาขาทั่วประเทศ และเตรียมขยายบริการไปสู่ ท็อปส์ เดลี่ ในเร็วๆ นี้