เซ่นโควิด! ตายแล้ว 1 ศพ ก.สาธารณสุข เผยยังเหลือรักษาตัวใน รพ.1,748 ราย

เซ่นโควิด! ตายแล้ว 1 ศพ ก.สาธารณสุข เผยยังเหลือรักษาตัวใน รพ.1,748 ราย

ตายแล้วหนึ่ง! จากกรณีที่มีผู้ป่วยชายไทยเสียชีวิต สาเหตุเพราะติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 อายุ 35 ปี มีอาชีพค้าขาย เสียชีวิตไปเมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2563 เวลา 18.25 น. วันนี้ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ได้รายงานสถานการณ์ข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 1 มีนาคม 2563

1.สถานการณ์ ถึงวันที่ 1 มีนาคม 2563 ณ เวลา 08.00 น.

1. ผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อรักษาในโรงพยาบาล 11 ราย กลับบ้านแล้ว 30 ราย เสียชีวิต 1 ราย รวมสะสม 42 ราย

2. ผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนโรคต้องเฝ้าระวัง ตั้งแต่วันที่ 3 มกราคม – 29 กุมภาพันธ์ 2563 มีผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนต้องเฝ้าระวังสะสมทั้งหมด 2,953 ราย คัดกรองจากทุกด่าน 92 ราย มารับการรักษาที่โรงพยาบาลเอง 2,861 ราย อนุญาตให้กลับบ้านได้แล้วและอยู่ระหว่างติดตามอาการ 1,748 ราย ส่วนใหญ่เป็นไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล ยังคงรักษาในโรงพยาบาล 1,205 ราย

3. สถานการณ์ทั่วโลกใน 60 ประเทศ ข้อมูลตั้งแต่ 5 มกราคม – 29 กุมภาพันธ์ 2563 (07.00 น.) พบผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อจำนวน 85,983 ราย เสียชีวิต 2,941 ราย ส่วนประเทศจีนพบผู้ป่วย 79,257 ราย เสียชีวิต 2,835 ราย

2.สธ. ย้ำหากพบผู้ป่วยและสงสัยว่าติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ให้แจ้งต่อเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อภายใน 3 ชั่วโมง

กระทรวงสาธารณสุขย้ำพ.ร.บ.โรคติดต่อ มีผลบังคับใช้ในวันนี้ หากพบผู้ป่วยและสงสัยว่าติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ให้แจ้งต่อเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อภายใน 3 ชั่วโมง หากฝ่าฝืนมีโทษปรับไม่เกิน 20,000 บาท เผย ผู้ป่วยยืนยันกลับบ้านได้ 2 ราย ผู้ป่วยอาการหนักเสียชีวิต 1 ราย

นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน สาธารณสุขนิเทศก์และโฆษกกระทรวงสาธารณสุข และนายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป แถลงข่าวความคืบหน้าสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ว่า ประกาศกระทรวงสาธารณสุขที่กำหนดให้โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 เป็นโรคติดต่ออันตรายลำดับที่ 14 ตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ. 2558 มีผลบังคับใช้ในวันนี้ เน้นย้ำให้มีการเฝ้าระวังและการแจ้งต่อเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อ กรณีพบผู้ป่วยหรือสงสัยว่าป่วย ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด ซึ่งจะต้องรายงานภายใน 3 ชั่วโมง หากฝ่าฝืนจะมีความผิด โดยปรับไม่เกิน 20,000 บาท

สำหรับกรณีที่เป็นข่าวการพบเชื้อไวรัสโคโรนาในสุนัขยังไม่มีรายงานในประเทศไทยแต่อย่างใด อยู่ระหว่างเฝ้าระวังและค้นหาข้อมูลทางวิชาการเพิ่มเติม ขอแนะนำให้เจ้าของ ผู้ดูแลสุนัข รักษาความสะอาดของทั้งผู้เลี้ยงและสุนัข และหมั่นล้างมือบ่อยๆ หลังสัมผัสสุนัข

สำหรับสถานการณ์วันนี้ มีผู้ป่วยยืนยันรักษาหายกลับบ้านได้ 2 ราย รายที่ 1 เป็นชายชาวจีน อายุ 33 ปี รายที่ 2 เป็นเด็กหญิงไทย อายุ 3 ขวบ ทั้งคู่รักษาอยู่สถาบันบำราศนราดูร ในส่วนผู้ป่วยอาการหนัก 2 ราย ขณะนี้เสียชีวิต 1 ราย เป็นชายไทย อายุ 35 ปี ผู้ป่วยรายนี้ ป่วยด้วยโรคไข้เลือดออก ต่อมามีการติดเชื้อโควิด-19 ร่วมด้วย ถูกส่งต่อมาจาก รพ.เอกชน รักษาที่ สถาบันบำราศนราดูร ทำการรักษาด้วยยาต้านไวรัสที่ดีที่สุด ตรวจไม่พบเชื้อโควิด-19 ตั้งแต่ 16 กุมภาพันธ์ 2563

หลังจากรักษาเป็นเวลาเกือบ 1 เดือน ด้วยสภาพปอดที่เสื่อมแต่เดิม หัวใจและอวัยวะภายในทำงานหนัก ทำให้อวัยวะภายในหลายระบบล้มเหลว (Multiorgan failure) จึงเสียชีวิตในที่สุด ทั้งนี้ เนื่องจากตรวจไม่พบเชื้อแล้ว ดังนั้น สาเหตุแห่งการเสียชีวิตจะเกี่ยวกับโควิด-19 หรือไม่ จะนำเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการวิชาการ (ภายใต้คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ) ต่อไป

ส่วนอีก 1 ราย ที่มีการติดเชื้อวัณโรคร่วมด้วย ตรวจไม่พบเชื้อต่อเนื่องเป็นเวลา 1 สัปดาห์แล้ว ยังอยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด โดยสรุป ในขณะนี้ มีผู้ป่วยยืนยันที่รักษาหายแล้ว 30 ราย ยังรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 11 ราย เสียชีวิต 1 ราย รวมยอดผู้ป่วยสะสม 42 ราย

ในส่วนการกระจายหน้ากากอนามัยสำหรับประชาชนในวันพรุ่งนี้ ที่กระทรวงสาธารณสุข เป็นไปตามนโยบายของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้ประชาชนที่หาซื้อไม่ได้นำไปใช้สำหรับตนเองและครอบครัว เพื่อลดภาระค่าใช้จ่าย สำหรับป้องกันเชื้อโรคตามความจำเป็น โดยได้รับการสนับสนุนจากองค์การเภสัชกรรมบริจาคให้ประชาชน ทั้งนี้ หน้ากากอนามัยที่แจกฟรีให้ประชาชนเป็นคนละส่วนกับที่จัดสรรให้กับสถานพยาบาล ซึ่งมีแผนการจัดสรรชัดเจนตามความต้องการที่แจ้งผ่านมายังสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดและเขตสุขภาพ ต้องมีเพียงพอต่อการใช้งานในการบริการผู้ป่วย

3. คำแนะนำสำหรับประชาชน

3.1 ประชาชนที่มีประวัติเดินทางไปในพื้นที่เสี่ยงหรือพื้นที่ที่มีการรายงานพบผู้ป่วย หลังเดินทางกลับประเทศไทยภายใน 14 วัน ถ้ามีอาการไข้ เจ็บคอ มีอาการระบบทางเดินหายใจ เช่น น้ำมูก ไอ เสมหะ หายใจเร็ว หอบ ให้สวมหน้ากากอนามัย ล้างมือ และรีบไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลใกล้บ้านหรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุขทันที พร้อมทั้งแจ้งประวัติการเดินทาง เนื่องจากมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนปอดบวม และมีอาการรุนแรง ถึงขั้นเสียชีวิตได้

3.2 ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวให้หลีกเลี่ยงการเดินทางไปต่างประเทศที่มีการระบาด และหากจำเป็นต้องเดินทางไปยังประเทศที่มีการระบาด ขอให้หลีกเลี่ยงการคลุกคลีกับผู้ป่วย หลีกเลี่ยงไปตลาดค้าสัตว์มีชีวิต
การสัมผัสหรืออยู่ใกล้ชิดกับสัตว์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสัตว์ที่ป่วย หรือตาย

3.3 ประชาชนทั่วไป ขอให้ดูแลสุขภาพ โดยเฉพาะในช่วงที่อากาศแปรปรวน ใช้มาตรการ กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ และสวมหน้ากากป้องกันโรค เวลาไอ จาม หลีกเลี่ยงอยู่ใกล้ชิดกับผู้ที่มีอาการโรคระบบทางเดินหายใจ

ข้อมูลจาก : กลุ่มภารกิจด้านข่าวและสื่อมวลชนสัมพันธ์ สำนักสารนิเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข