หนุ่มสิงคโปร์เผย จ่าคลั่งอยู่ห่างเพียง 2 เมตร! เด็กร้อง-ถูกยิงทั้งครอบครัว

หนุ่มสิงคโปร์เผยนาทีระทึก จ่าคลั่งอยู่ห่างเพียง 2 เมตร! เด็กร้องไม่หยุด ก่อนถูกยิงทั้งครอบครัว

ที่เพจ คำพยาน ชีวิต คริสเตียน ได้โพสต์ภาพพร้อมข้อความบอกเล่าเหตุการณ์เฉียดตายของ คุณยองวี เตย์ สมาชิกคริสตจักร ซึ่งเป็นชาวสิงคโปร์ที่รอดชีวิตมาได้หลังจากติดอยู่ในชั้น LG พร้อมลูกชายวัย 11 ขวบ น้องโจเซฟ เตย์ (รูปซ้าย) โดยมีใจความว่า

“ผมกับลูกต้องหาที่ซ่อน ผู้คนแตกตื่นกันมาก เราอยู่ที่บริเวณ food land ชั้นใต้ดิน มันกว้างเกินไป ไม่ค่อยมีที่ปลอดภัยให้ซ่อนเลย เราไปหลบแถวแผนกของสด ผมกอดลูกไว้ น้องโจตัวสั่นไปหมด ผมรู้สึกถึงความไม่ปลอดภัย เราย้ายเข้าไปห้องซึ่งน่าจะเป็น store…เราพบกับพ่อแม่ลูกครอบครัวนึง ลูกสาวเขายังเล็กมาก พวกเราอยู่ด้วยกันประมาณ 10 คน ปิดไฟปิดประตูและพยายามอยู่กันอย่างเงียบที่สุด…ทั้งหวาดกลัว หนาว อึดอัด และมีเสียงปืนดังเป็นระยะ

เวลานั้น…พระวิญญาณบริสุทธิ์เตือนผมในใจว่า ให้ออกไปจากตรงนี้มันไม่ปลอดภัย และเมื่อชายหนุ่มคนหนึ่งชื่อ ติ๊ก ซึ่งดูแข็งแรงและมีสติชักชวนเราทุกคนหาที่ซ่อนใหม่ เป็นห้องควบคุมไฟที่อยู่ลึกเข้าไปอีกหน่อย ผมหันไปชวนชายผู้เป็นพ่อ ไปด้วยกันมั้ยครับ? เขาตอบด้วยสีหน้ากังวล “ไม่ล่ะครับ ผมจะอยู่กับภรรยาที่นี่”

นั่นเป็นบทสนทนาสุดท้ายของเรา

เวลาผ่านไปเป็นชั่วโมงท่ามกลางความกดดัน เสียงปืนที่ดังในระยะใกล้ประชิดเข้ามา เราอยู่ในห้องมืดแคบๆนั้น 7 คน สัญญาณอันตรายใกล้เข้ามาทุกที เราได้ยินเสียงลูกสาวของเขาร้องไห้กรีดร้องเพราะเสียงปืนที่ดังเกิน เธอร้องไม่หยุด แล้ววินาทีแสนโหดร้ายก็เกิดขึ้น เสียงปืนระดมยิงไปที่ประตูหลายนัด ได้ยินเสียงฆาตกรถีบประตูปังเข้ามาในห้องที่พ่อแม่ลูกอยู่นั้น เสียงฝีก้าวของมันห่างจากที่เราอยู่เพียงระยะ 2 เมตร!

“มานี่!!!!?” เสียงฆาตกรขู่คำราม เสียงเด็กหญิงยังคงกรีดร้องเสียงดังและเสียงพวกเขาค่อยๆ ห่างออกไป ตามมาด้วยเสียงปืนที่ดังเรื่อยๆ เป็นระยะ….กลิ่นเขม่าควันปืนฟุ้งกระจายไปทั่ว ผมเคยได้กลิ่นนั้นนานมาแล้วครั้งที่เคยเป็นทหารรับใช้ชาติที่สิงคโปร์
วินาทีนั้นพวกเราแทบหยุดหายใจ ชะตากรรมของพวกเขาจะเป็นอย่างไร ทุกคนในห้องนั้นน่าจะพอนึกออก ผมกอดโจเซฟไว้แน่น โจไม่สบาย ผมกลัวว่าเขาจะส่งเสียงไอ แต่ขอบคุณพระเจ้า ทุกคนเงียบกริบแทบกลั้นหายใจ วินาทีเช่นนี้ ถ้าไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์นี้ คงยากจะเข้าใจ มันบีบหัวใจเหลือเกิน…
….ผมขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวนี้จริงๆ…

ไม่มีวินาทีไหนที่ผมหยุดอธิษฐานเรียกหาพระเจ้าตลอด 9 ชม.ที่ติดอยู่ในนั้น ไม่มีใครรู้ว่าเราจะมีชีวิตรอดออกไปได้หรือไม่ สิ่งที่ผมกลัวเวลานั้นที่สุด คือ ผมกลัวจะไม่ได้เจอหน้าอร (ภรรยา) และเจมส์ (ลูกชายคนโต) อีกแล้ว หรือนี่คือเวลาสุดท้ายของชีวิตผม….

ติ๊ก ชายหนุ่มในห้องที่พอจะสามารถติดต่อกับเพื่อนภายนอกได้เรื่อยๆ เขามีสติพอที่จะช่วยผมและคนอื่นๆ ไม่ให้ตื่นตระหนกจนเกินไป ติ๊กบอกพวกเราที่เป็นผู้ชายว่า หากถึงเวลาคับขันผมจะสู้ พวกเราต้องสู้ ผมจะเปิดก่อน คุณและคนอื่นๆ ต้องช่วยกันจับมันไว้ พอจะถ่วงเวลาให้ผู้หญิงและเด็กหนีได้บ้าง ผมรู้ความหมายทันทีว่า ถ้าเราจะต้องตายครั้งนี้ เราก็จะตายแบบยอมสู้ อย่างน้อยลูกชายผมต้องรอด…

ในที่สุด เวลาประมาณตี 3 ความช่วยเหลือก็มาถึงเรา…เจ้าหน้าที่หน่วยรบพิเศษหลายสิบนายเข้าถึงตัวเรา พวกเขาให้สัญญาณยิงเปิดทาง 3 ครั้ง เมื่อสิ้นเสียงปืนครั้งที่ 3 พวกเขาบอกให้วิ่งไปกับเขาทันที…ผมพลัดหลงกับลูกชายในจังหวะช่วงชุลมุน ผมร้องขอเจ้าหน้าที่ หาลูกผมๆ พวกเขาพยายามให้ผมใจเย็นและให้ความมั่นใจว่า ลูกชายผมอยู่ในมือตำรวจปลอดภัยแล้ว…ผมได้พบหน้าลูกชายและภรรยาอีกครั้งที่รพ.มหาราช เจ้าหน้าที่ประสานให้เราได้เจอกัน เมื่อพร้อมหน้าเราโอบกอดกันด้วยความขอบคุณพระเจ้า

ผมเจอติ๊กครั้งสุดท้ายที่โรงพยาบาลมหาราช เรากล่าวลาและแยกย้ายไปหาครอบครัวอย่างสวัสดิภาพ ขอบคุณพระเจ้าสำหรับมิตรภาพอันแสนสั้นที่มีความหมายไปตลอดชีวิต…

ผมขอบคุณพระเจ้า คืนนั้นผมกับลูกคงจากไปพร้อมกับครอบครัวพ่อแม่ลูกนั้นแล้ว แต่พระเจ้าเมตตาผมกับลูกชายเหลือเกิน พระหัตถ์ของพระองค์ปกป้องคุ้มครองเราไว้ ทรงปิดตามัจจุราชและผ่านเลยเราไป ผมเชื่อในคำอธิษฐานและการปกป้องผ่านคำอธิษฐานเผื่อของพี่น้องคริสเตียนมากมาย..

ติ๊กถามผมว่า ถ้าเรารอดไปได้ ผมจะไปทำบุญ พี่ไปกับผมมั้ยครับ ผมตอบเขาอย่างมั่นใจ ไม่ล่ะครับ ผมเป็นคริสเตียน พรุ่งนี้วันอาทิตย์ผมจะไปโบสถ์ ผมจะไปนมัสการพระเจ้าของผม และขอบคุณพระเจ้าที่ช่วยผมและลูกผ่านเหตุการณ์เลวร้ายครั้งนี้”

ขอบคุณพระเจ้า
ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งแด่ครอบครัวนี้ และทุกครอบครัวที่สูญเสียในครั้งนี้
#เหตุการณ์กราดยิง 8 กุมภาพันธ์ 2020