ม้งเวียงแก่น เริ่มสำรองฟืน-เตรียมเครื่องนุ่งห่ม รับมือหนาวที่คาดหนักสุดในรอบ 3 ปี

วันที่ 6 พฤศจิกายน 2559 ผุ้สื่อข่าวรายงานว่าชาวบ้านไทยเจริญ หมู่ 8 ตำบลม่วงยาย อำเภอเภอเวียงแก่น จังหวัดเชียงราย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวไทยภูเขาเผ่าม้ง เกือบทุกหลังเรือนเริ่มมีการเตรียมฟืนไว้เป็นจำนวนมาก ทั้งนี้ส่วนหนึ่งเพื่อใช้ในการประกอบอาหารและใช้ชีวิตประจำวัน อีกส่วนหนึ่งเป็นการเตรียมไว้สำหรับสุมไฟเพื่อคลายหนาวในช่วงฤดูหนาวที่จะถึงนี้ ขณะที่หลายครอบครัวก็ได้มีการนำผ้าห่มและเสื้อผ้ากันหนาวมาซักตากเพื่อเตรียมความพร้อมไว้เช่นกัน  หลังกรมอุตุนิยมวิทยาได้ประกาศให้พื้นที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยมีความสูงอากาศสูงจากประเทศจีนแผ่นมาปกคลุมซึ่งจะทำให้ตั้งแต่ระยะนี้เป็นอุณหภูมิจะลดต่ำลงอย่างต่อเนื่องและมีการคาดการณ์ว่าอาจจะหนาวที่สุดในรอบ 3 ปี
นายเจริญ แซ่ว่าง  อายุ 23 ปี ชาวบ้านไทยเจริญ กล่าวว่าหมู่บ้านตั้งอยู่บนสันเขาสูงอีกทั้งยังติดกับแม่น้ำโขง ซึ่งในช่วงฤดูหนาวจะหนาวจัดเพราะมีลมพัดแรง ซึ่งขณะนี้ลมหนาวเริ่มมาเยือนแล้วโดยจะหนาวเย็นมากในช่วงกลางคืนและช่วงเช้า  ทำให้หลายคนได้เตรียมความพร้อมทั้งเสื้อและฟืนเพื่อสุมไฟคลายหนาว ซึ่งเป็นวิธีเดียวของคนที่นี่ที่จะทำให้คลายหนาวได้ รวมถึงการไม่ออกจากบ้านเพราะบ้านสร้างความอบอุ่นได้
201611061308217-20021028190531-768x432
อย่างไรก็ตาม ชาวบ้านที่นี่ยังมีฐานะยากจนเพราะมีรายได้ทางเดียว คือ การทำสวนข้าวโพด ส่วนใหญ่ยังใช้เสื้อผ้าหรือผ้าห่มเก่าๆที่ได้รับแจกหรือซื้อมาแล้วหลายปีใช้แต่บางครอบครัวก็ยังไม่มีเพราะการแจกจ่ายนั้นยังไม่ทั่วถึงทุกคน จึงอยากให้มีการช่วยอย่างทั่วถึงโดยเข้ามาทำการสำรวจในพื้นที่จริงเพราะหากให้ทางพื้นที่สำรวจกันเองก็จะได้เฉพาะกลุ่มเดิมๆ  ส่วนผ้าห่มที่แจกขณะนี้ถือว่ามีความหนาที่ทำให้คลายหนาวได้บ้างแล้วไม่เหมือนอดีตที่แจกแต่ผ้าห่มบางๆที่ไม่ได้ช่วยให้คลายหนาวเลย
ด้านนายทัศนัย สุธาพจน์ นายอำเภอเวียงแก่น กล่าวว่า อ.เวียงแก่นพื้นที่ทั้งหมดอยู่บนสันเขาสูง และมีชาวไทยภุเขาอาศัยอยู่กว่า 9 ชนเผ่า ซึ่งมีอาาชีพเกษตรกรมเป็นหลักทำให้จึงมีฐานะยากจน ซึ่งปีนี้ทางอำเภอสำรวจพบมีผุ้ประสบภัยหนาวกว่า 20,000 คน ซึ่งทางอำเภอได้จัดแผนทำการช่วยเหลือโดยร้องขอเครื่องนุ่งห่มกันหนาวไปยังหน่วยงานทีเ่กี่ยวข้องและภาคเอกชน ซึ่งได้ให้ความสนใจเสนอการช่วยเหลือมาแล้วหลายราย ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างจัดหามาแจกจ่ายซึ่งคาดว่าเบื้องต้นจะช่วยได้ไม่ต่ำกว่า 3,000 ราย ส่วนที่เหลือจะเป็นการช่วยหลือจากทางภาคราชการซึ่งจะดำเนินการในลำดับต่อไป