ผู้เขียน | ข่าวสดออนไลน์ |
---|---|
เผยแพร่ |
เมื่อวันที่ 29 ต.ค. นายดาว บุญแจ่ม พสกนิกรจาก จ.พิษณุโลก หนึ่งในประชาชนกลุ่มแรก ที่ได้ขึ้นไปสักการะเบื้องหน้าพระบรมศพ บนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ได้เดินทางมาจากบ้านเกิดที่ จ.พิษณุโลก พร้อมกับครอบครัวพ่อแม่ลูกอีก 8 คน ตั้งแต่หัวค่ำเมื่อวานนี้
นายดาว กล่าวว่า รู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่งที่จากนี้ต่อไปจะไม่มีพระองค์ท่านอีกแล้ว แต่ลึกๆในใจก็คิดว่าพ่อจะได้พักผ่อนไม่ต้องเหนื่อยเหมือนที่ผ่านมาอีก เพราะอย่างน้อยพระองค์ท่านก็ยังสถิตอยู่ในใจพวกเราปวงพสกนิกรชาวไทย ตอนแรกก็เหมือนผมจะทำใจกับการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่นี้ได้ แต่พอได้ดูทีวีแล้วเห็นภาพพระราชกรณียกิจของพระองค์ท่านที่ทรงงานหนักตลอดเวลาไม่เคยทรงหยุดพักแม้แต่วินาทีเดียว พระองค์ท่านทรงทำงานหนักเพื่อคนอื่นตลอดเวลา ไม่เคยย่อท้อต่ออุปสรรคและปัญหาที่ขวางอยู่ด้านหน้า สิ่งเหล่านี้เองล้วนเป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้ผมไม่เคยกลัวและหวั่นเกรงกับปัญหาใดๆ พร้อมที่จะใช้ชีวิตอย่างมีสติเพื่อเตรียมรับมือกับปัญหาที่รออยู่ข้างหน้า
นายดาว ยังกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ พร้อมน้ำตาคลอเบ้าว่า ถ้าแม้เลือกได้ผมขอแลกชีวิตของผมเพื่อให้พระองค์ท่านยังทรงอยู่เป็นมิ่งขวัญของชาวไทยตลอดไป และถ้าชาติหน้ามีจริงผมขอเกิดเป็นข้ารองพระบาททุกชาติไป
นายกล้า ลอดสันเที๊ย พร้อมด้วย นางยุพิน คำทองหลาย และลูกสาว ด.ญ. กังสฎา คำทองหลาย วัย 10 ปี เดินทางมาจาก อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มแรกที่ได้เข้าถวายสักการะพระบรมศพในเวลา 05.15 น. โดยภายหลังถวายสักการะเสร็จแล้ว เจ้าตัวเล่าว่าด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า เดินทางมารอถวายสักการะถึงตั้งแต่เวลา 21.15 น. ของวันที่ 28 ต.ค. ด้วยความตั้งใจแม้ว่าฝนตกหนักก็ไม่ท้อ เพราะเป็นครั้งเดียวในชีวิตที่อยากเข้ามาแสดงความรักต่อพระองค์ท่าน พระองค์ทรงช่วยเหลือประชาชน ไม่ว่าจะเป็นถิ่นทุรกันดารทั้งขึ้นภูเขาข้ามลำห้วยลำบากเพียงใดก็ไม่ทรงท้อ ด้วยเหตุนี้ตนเองและครอบครัวจึงตั้งใจอยากมาร่วมส่งพระองค์เป็นครั้งสุดท้าย
ด้าน นางกมลวรรณ สุขเขียว อายุ 59 ปี ซึ่งเดินทางมาจากศาลายาตั้งแต่ 17.00 น. โดยมาคนเดียว เล่าว่าก่อนหน้านี้ได้มาลงนามถวายความอาลัยต่อหน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล ที่ศาลาสหทัยสมาคม 4 ครั้ง และเมื่อได้ทราบว่าวันที่ 29 ต.ค. สำนักพระราชวังเปิดให้เข้าสักการะหน้าพระบรมศพจึงตั้งใจมาอีกครั้ง แม้ว่าเพื่อนๆ จะชวนให้รอมาวันหลังแต่ตนเองไม่อยากรอแม้เพียงวันเดียว เพราะอยากมาแสดงความรักต่อพระองค์ท่าน ถึงจะต้องรอนานแค่ไหนหรือต้องตากฝนตากแดดก็ไม่ท้อ เพราะพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงลำบากที่ทรงทำเพื่อประชาชนมากกว่านี้หลายร้อยหลายพันเท่า
นางกมลวรรณเล่าพร้อมกับน้ำตาว่า ทั้งที่พระองค์สวรรคตไปแล้ว 16 วันแต่ตอนที่ขึ้นไปกราบใกล้ๆ รู้สึกใจหาย น้ำตาไหล ไม่อยากให้ทรงสวรรคต อยากให้พระองค์ท่านอยู่กับประชาชนไปนานๆ อย่างที่ทรงสัญญาไว้ว่าจะทรงอยู่ถึง 120 ปี โดยจะน้อมนำพระราชดำริในเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง อยู่อย่างพอกินพอใจ รู้จักประมาณตนเอง
ที่มา ข่าวสด