1 ต.ค.นี้เอาจริง รัฐโขกภาษีน้ำหวาน ตั้งเป้าได้เพิ่ม 4.5 พันล้าน แฉบริษัทเครื่องดื่มดัง

1 ต.ค.นี้เอาจริง รัฐโขกภาษีน้ำหวาน ตั้งเป้าได้เพิ่ม 4.5 พันล้าน แฉบริษัทเครื่องดื่มดัง

ภาษีน้ำหวาน / เมื่อวันที่ 9 ก.ย. นายณัฐกร อุเทนสุต ผู้อำนวยการสำนักแผนภาษี กรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า หลังจากวันที่ 16 ก.ย. 2560 ที่เริ่มมีการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตความหวาน พบว่ามีผู้ประกอบการที่ผลิตเครื่องดื่มเพียงยี่ห้อเดียว ลดปริมาณน้ำตาลในเครื่องดื่ม เพื่อให้เสียภาษีความหวานถูกลง

ขณะที่รายอื่นๆ ใช้วิธีออกสินค้าใหม่ และระบุว่ามีปริมาณน้ำตาลต่ำแทน เนื่องจากไม่ต้องการให้กระทบกับสินค้าเดิมที่ขายอยู่ในตลาด ขอย้ำเตือนว่าในวันที่ 1 ต.ค. 2562 จะมีการปรับภาษีแบบขั้นบันได ซึ่งปรับเพิ่มขึ้นทุก 2 ปี หากยังไม่สามารถลดปริมาณน้ำตาลได้ จะต้องเสียภาษีอีกเท่าตัว

จากการบังคับใช้ภาษีความหวานในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา กรมได้ร่วมกับศูนย์บริการวิชาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ไปสำรวจความรับรู้มาตรการภาษีความหวานกับประชาชน พบว่ามาตรการภาษีจูงใจให้ผู้ประกอบการปรับตัว โดยลดปริมาณน้ำตาลในเครื่องดื่ม และมีการติดสลาก เพื่อแจ้งให้ประชาชนรับทราบเพิ่มขึ้นกว่า 200%

จากเดิม 60-70 รายการเป็น 200-300 รายการ แต่ในการรับรู้ประชาชนยังไม่มาก กลุ่มที่ตื่นตัวคือต่ำกว่า 30 ปี และมากกว่า 60 ปี ส่วนวัยทำงานยังสนใจน้อย ยังมีการบริโภคเครื่องดื่มที่มีความหวานสูงอยู่มาก

“เอกชนเริ่มปรับตัวกับภาษีความหวานแล้ว จากการหารือก็เข้าใจความต้องการของกรมในการช่วยดูแลสุขภาพให้กับประชาชน และยืนยันว่าที่ผ่านมาราคาเครื่องดื่มที่ปรับตัวสูงขึ้นเป็นเพราะต้นทุนที่เปลี่ยนแปลง ไม่ได้มาจากต้นทุนด้านภาษี” นายณัฐกร กล่าว

นอกจากนี้ กรมเตรียมหารือกับคณะทำงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงสาธารณสุข และองค์การอาหารและยา (อย.) เข้าไปกำกับดูแลผู้ประกอบการ ให้เพิ่มขนาดเครื่องหมายแจ้งเตือนปริมาณน้ำตาล ให้สามารถสังเกตเห็นได้ง่ายขึ้น อ่านได้ง่ายขึ้น เช่นเดียวกับการแจ้งเตือนโทษด้านสุขภาพ บนหน้าฉลากบุหรี่ ซึ่งจะเป็นหลักเกณฑ์ให้ได้รับประโยชน์ในภาษีด้วย ซึ่งจะต้องหารือในขั้นตอน หลักการและวิธีการต่อไป

นายณัฐกร กล่าวว่า ปัจจุบันภายใต้ภาษีความหวาน กรมจัดเก็บรายได้อยู่ที่ 2,000-3,000 ล้านบาทต่อปี โดยอัตราภาษีใหม่ที่จะปรับแบบขั้นบันได มีผลในวันที่ 1 ต.ค. 2562 จะทำให้กรมมีรายได้เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 1,500 ล้าน หรือคิดเป็นรายได้จากภาษีน้ำหวานที่ 3,500-4,500 ล้านบาทต่อปี ขณะที่การจัดเก็บภาษีภาพรวมของกรมสรรพสามิตในปีงบประมาณ 2562 ที่ 5.84 แสนล้านบาท และปี 2563 ที่ 6.4 แสนล้านบาท มั่นใจว่าจะเป็นไปตามเป้าหมาย

ทั้งนี้ ตั้งแต่ 1 ต.ค. 2562 ถึง 30 ก.ย. 2564 เครื่องดื่มที่มีปริมาณน้ำตาลไม่เกิน 10 กรัม ต่อ 100 มิลลิลิตร เก็บภาษีเท่าเดิมที่ 0.30 บาท ต่อลิตร, เครื่องดื่มที่มีปริมาณน้ำตาลเกิน 10 กรัม แต่ไม่เกิน 14 กรัมต่อ 100 มิลลิลิตร เสียภาษี 1 บาท ต่อลิตรจากเดิม เสียภาษี 0.50 บาท ต่อลิตร

เครื่องดื่มที่มีปริมาณน้ำตาลเกิน 14 กรัม แต่ไม่เกิน 18 กรัม ต่อ 100 มิลลิลิตร เสียภาษี 3 บาท ต่อลิตร จากเดิม 1 บาท และที่มีปริมาณน้ำตาลเกิน 18 กรัมต่อ 100 มิลลิลิตร เสียภาษี 5 บาท ต่อลิตร และจะมีการปรับภาษีแบบขั้นบันไดแบบเท่าตัวอีกครั้งในช่วง 1 ต.ค. 2564-30 ก.ย. 2566 และ 1 ต.ค. 2566 เป็นต้นไป