3 หัวใจหลัก ธุรกิจซาลอนยืนอยู่ได้ในยุคข้าวยากหมากแพง แนะ ช่างผมไทย เร่งนำเทรนด์

3 หัวใจหลัก ธุรกิจซาลอนยืนอยู่ได้ในยุคข้าวยากหมากแพง แนะ ช่างผมไทย เร่งนำเทรนด์

ในยุคที่เศรษฐกิจไม่เฟื่องฟู ข้าวปลาอาหารและการบริการหลายๆ อย่างมีราคาสูงขึ้น แต่ในขณะเดียวกัน รายได้นั้นกลับสวนทางกับรายจ่าย จึงทำให้หลายๆ คนคิดอย่างรอบคอบเวลาจะควักเงินออกมาจากกระเป๋าแต่ละครั้ง และแน่นอนว่าเมื่อการใช้จ่ายลดลง ทำให้ผู้ประกอบการธุรกิจแต่ละสาขาต้องเร่งปรับตัว ไม่เว้นแม้แต่ธุรกิจร้านซาลอน ที่หากจะว่าไปก็อยู่ยากในยุคที่เศรษฐกิจเป็นเช่นนี้ เพราะคงไม่มีใครเดินเข้าร้านซาลอนได้ทุกวันเหมือนร้านขายอาหารตามสั่ง ดังนั้น เราจึงแนะนำ 3 หัวใจของการทำธุรกิจซาลอนให้ยืนอยู่ได้ ในยุคข้าวยากหมากแพง

ในงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ SUBLIMIC ของ บริษัท ชิเซโด้ โปรเฟสชั่นแนล ไทยแลนด์ (จำกัด) ได้พบกับผู้คร่ำหวอดในวงการซาลอนอย่าง คุณพิชัย อร่ามเจริญ เจ้าของคัท แอนด์ เคิร์ล อคาเดมี ร้านซาลอนกว่า 16 สาขา และควบตำแหน่งนายกสมาคม Intercoiffure Thailand สมาคมช่างทำผมระดับโลก ที่ปัจจุบันมีสมาชิก 50 ประเทศ แฮร์สไตลิสต์กว่า 3,000 คน 

โดยคุณพิชัยได้เผยถึง 3 หัวใจหลักสำคัญ ของการทำธุรกิจซาลอนในยุคข้าวยากหมากแพง ดังนี้

1. การพัฒนาฝีมือและความรู้ ที่ถือเป็นหัวใจแรกของการทำธุรกิจ เพราะหากช่างผมขาดฝีมือหรือความรู้ที่แท้จริงด้านเส้นผม ก็ยากที่จะประสบความสำเร็จ

 2. ต้องเข้าใจผู้บริโภค เนื่องจากทุกวันนี้ผู้บริโภคมีสิทธิในการเลือกสินค้าหรือบริการมากกว่าในอดีต และผู้บริโภคก็ให้ความสนใจในการหาความรู้สิ่งที่ตนเองชื่นชอบ ดังนั้น ผู้ให้บริการไม่ควรเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง ควรที่จะเปิดรับและนำเสนอสิ่งใหม่ๆ ให้ตอบโจทย์ผู้บริโภค 

และ 3. อยู่ให้ถูกที่ถูกทาง คือ ต้องรู้ว่าลูกค้าเราคือกลุ่มไหน อยู่ตรงไหน เราทำร้านซาลอนตอบโจทย์ลูกค้าประเภทไหน

ซึ่งถ้ามี 3 ข้อนี้เป็นหัวใจหลักของการดำเนินธุรกิจรับรองร้านซาลอนจะยืนอยู่ได้ท่ามกลางเศรษฐกิจที่แปรปรวน

นอกจาก 3 หัวใจของการดำเนินธุรกิจซาลอนข้างต้นแล้ว คุณพิชัย ยังเผยว่า การเลือกใช้แบรนด์ถือเป็นส่วนสำคัญในการดึงดูดผู้บริโภค

ทั้งนี้ หากจัดอันดับร้านซาลอนไทยว่าอยู่อันดับเท่าไรของเอเชีย นายกสมาคม Intercoiffure Thailand มองว่าเป็นอันดับที่ 3 ในเรื่องของฝีมือและความครีเอทีฟ ซึ่งเป็นรองประเทศญี่ปุ่นและเกาหลี แต่ถ้ามองถึงองค์ความรู้ ร้านซาลอนประเทศไทยอยู่อันดับที่ 5 หรือ 6 เช่นเดียวกับจีนและไต้หวัน ดังนั้น จึงอยากแนะนำให้ช่างผมไทยหาความรู้ใหม่ ในการพัฒนาตนเอง และควรเป็นผู้นำเทรนด์เรื่องแฟชั่นทรงผม มากกว่าการเป็นผู้เดินตามเทรนด์จากต่างประเทศ

อย่างไรก็ตาม มั่นใจว่าช่างผมไทยมีความสามารถด้านฝีมือ ดังนั้น หากวันหนึ่งธุรกิจซาลอนจะถอยหลัง ก็อยากให้ช่างผมไทยพัฒนาและหาความรู้ใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อนำพาตัวเองไปสู่แฮร์สไตลิสต์ระดับสากลและเป็นที่ยอมรับในวงกว้าง เพื่อเพิ่มช่องทางในการหารายได้