ลาซาด้าเร่งพัฒนาเอสเอ็มอีไทย สู่การเป็น ซูเปอร์ อีบิสิเนส

ลาซาด้าเร่งพัฒนาเอสเอ็มอีไทยสู่การเป็น ซูเปอร์ อีบิสิเนส จัดประชุม Mega Seller Conference ดึงผู้ขายระดับท็อปติวเข้มพิชิตยอดขายรับเมกะแคมเปญปลายปี ผนึกกำลังภาครัฐ ยกระดับผู้ประกอบการรากหญ้าผ่านโครงการ สมาร์ท วิลเลจ ออนไลน์

ลาซาด้ากางแผนกลยุทธ์ส่งเสริม SMEs ไทยทั้งระบบสู่ซูเปอร์ อี-บิสิเนส หรือสุดยอดธุรกิจออนไลน์ ด้วย “ซูเปอร์-โซลูชั่นส์” พร้อมแนะ 6 กุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จของผู้ประกอบการ  โดยในงาน Lazada Mega Seller Conference 2019 ยักษ์ใหญ่อีคอมเมิร์ซจัดติวเข้มมอบความรู้แก่สุดยอดนักขายออนไลน์กว่า 2,000 ราย เตรียมพร้อมปั๊มยอดรับหลายแคมเปญสำคัญในช่วงครึ่งหลังของปี

มร.แจ็ค จาง รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ลาซาด้า ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า ลาซาด้า เล็งเห็นความสำคัญของเอสเอ็มอี อันเป็นภาคธุรกิจที่มีความสำคัญยิ่งต่อเศรษฐกิจไทยในภาพรวม โดยในปัจจุบันมีผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในประเทศไทยเป็นจำนวนกว่า 5,253,295 ราย ทั้งนี้ หนึ่งในพันธกิจหลักของลาซาด้าคือการนำเสนอโอกาสที่เท่าเทียม เพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี เพราะเชื่อว่าไม่มีแบรนด์ใดใหญ่เกินไปหรือเล็กเกินไปสำหรับการประสบความสำเร็จในธุรกิจอีคอมเมิร์ซ จึงต้องการส่งมอบความรู้และส่งต่อเครื่องมือสำคัญอย่าง “ซูเปอร์ โซลูชั่นส์” (Super-Solutions) เพื่อทำให้ผู้ประกอบการได้เติบโตอย่างยั่งยืน

สำหรับภาพรวมธุรกิจของลาซาด้าในระดับภูมิภาคตั้งแต่เดือนมกราคม – กรกฎาคม 2562 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา พบว่า มีจำนวนผู้ใช้บริการ (Buyers) เพิ่มขึ้นถึง 105% ส่วนกลุ่มผู้ขาย (Sellers) พบว่ามีการเติบโตขึ้นกว่า 90% ทั้งนี้ ในการส่งเสริมผู้ประกอบการบนแพลตฟอร์มในช่วง 4 เดือนสุดท้ายของปี ลาซาด้าจะเน้นกลยุทธ์หลักใน 3 ด้าน ซึ่งได้แก่

1.  ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี เติบโต มีโอกาสนำเสนอสินค้าที่หลากหลายประเภทมากขึ้น สนับสนุนด้านการบริหารงานและการตลาด สร้างคอมมูนิตี้ของกลุ่มผู้ขายเพื่อให้เกิดปฏิสัมพันธ์และกระตุ้นให้มีการเข้าร่วมในระยะยาว อาทิ สมาร์ท วิลเลจ ออนไลน์, ลาซาด้า ยูนิเวอร์ซิตี้ (Lazada University) คอร์สเรียนออนไลน์เพื่อเพิ่มทักษะและขีดความสามารถในการเป็นผู้ประกอบการออนไลน์ ที่เปิดโอกาสให้เรียนรู้ขั้นตอน เทคนิค และการใช้เครื่องมือเพื่อเป็นผู้ค้าออนไลน์ที่มีคุณภาพ และกิจกรรมโรดโชว์ที่ครอบคลุมหัวเมืองใหญ่ทั่วประเทศ เป็นต้น

2.  ขยายโซลูชั่นด้านการตลาด และกิจกรรมในรูปแบบ O2O (Online to Offline) เพื่อกระตุ้นการเข้าร่วม และเพิ่มโอกาสการขายของผู้ขาย

3.  พัฒนาเทคโนโลยี เพิ่มขีดความสามารถของระบบโลจิสติกส์ และนำเสนอทางเลือกใหม่ๆ ของการชำระเงิน หรือสร้างสังคมไร้เงินสดให้มากขึ้น (cashless society) เพื่อสนับสนุนผู้ค้าจากทั่วโลก

สำหรับแคมเปญสำคัญที่ลาซาด้าเตรียมไว้สำหรับกระตุ้นการสร้างยอดขายให้กับผู้ประกอบการในช่วงครึ่งปีหลัง อาทิ 9.9, 11.11 และ 12.12 ซึ่งถือเป็นบทพิสูจน์ความสำเร็จของผู้ประกอบการในช่วงส่งท้ายปี ขณะเดียวกันยังมีแคมเปญ Payday ซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำทุกๆ สิ้นเดือน และแคมเปญที่เจาะจงกลุ่มเป้าหมายอย่าง Women’s Festival ในเดือนตุลาคม แคมเปญ Momday Monday และ Trendy Tuesday เป็นต้น  ทั้งนี้ ลาซาด้าพบว่า การจัดแคมเปญเหล่านี้จะทำให้มีผู้เข้ามาใช้บริการผ่านแอพพลิเคชั่นที่สูงกว่าช่วงเวลาปกติ ทำให้เกิดการช็อปปิ้งในสินค้าหลากหลายประเภท อีกทั้งยังสร้างการสื่อสารระหว่างผู้ขายและลูกค้าได้มากขึ้น และกระตุ้นการเพิ่มจำนวนลูกค้าให้เกิดการติดตามร้านค้า

นอกจากแคมเปญที่ลาซาด้าเตรียมไว้นั้น ลาซาด้า ยังนำเสนอ 6 กุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จของผู้ประกอบการออนไลน์ ซึ่งได้แก่ การแยกประเภทสินค้าอย่างเหมาะสม เป็นหนึ่งในกลยุทธ์การขายเพื่อสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายได้อย่างชัดเจน

การสร้างกราฟิกให้เพิ่มขึ้นจากเครื่องมือของแพลตฟอร์ม อาทิ การใช้คีย์เวิร์ด การแสดงผลส่วนบุคคล และความใกล้เคียงของประเภทสินค้า การทำโปรโมชั่นและการวางแผนราคา อาทิ การสร้างคูปองส่วนลด หรือการกำหนดราคาในช่วงแคมเปญ การใช้เครื่องมือเพื่อขยายขนาดของตะกร้าสินค้า อาทิ จัดส่งฟรีเมื่อมีการช็อปปิ้งในจำนวนชิ้นที่กำหนด หรือการใช้เครื่องมือบางประเภทใจการจัดเซตสินค้า การให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการช่วงแคมเปญ อาทิ การบริหารสต๊อก, การบริการลูกค้า และการจัดการในหลังบ้าน การบริหารการจัดส่งสินค้าให้ทันเวลา รวมถึงการแพ็กสินค้า ระยะเวลาการจัดส่ง, การรับประกัน และให้ความช่วยเหลือลูกค้าในด้านต่างๆ”

นอกเหนือจากการพัฒนาผู้ประกอบการเอสเอ็มอีรายย่อยแล้ว อีกหนึ่งโครงการสำคัญที่ลาซาด้าเน้นย้ำคือการร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐเพื่อสนับสนุนการการสร้างรายได้ให้กับชุมชนทั่วประเทศโดยใช้ธุรกิจออนไลน์เป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจของชุมชนในท้องถิ่น  โดยลาซาด้าได้ร่วมกับ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ยกระดับผู้ประกอบการรากหญ้า และผลักดันสินค้าชุมชนเข้าสู่การค้าออนไลน์ ผ่านโครงการสมาร์ท วิลเลจ ออนไลน์ (Smart Village Online)

โครงการดังกล่าวนี้ ได้นำโมเดลจากชุมชนเถาเป่าจากประเทศจีน มาเป็นต้นแบบในการสร้างงานและส่งเสริมรายได้ผ่านอีคอมเมิร์ซ โดยได้ทำการคัดเลือก 5 ชุมชนที่มีความพร้อม ได้แก่ ชุมชนนาข่า จังหวัดอุดรธานี, ชุมชนด่านเกวียน จังหวัดนครราชสีมา, ชุมชนแม่พระประจักษ์ จังหวัดสุพรรณบุรี, ชุมชนควนขนุน จังหวัดพัทลุง และชุมชนใบชา จังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นชุมชนที่มีสินค้าแสดงถึงอัตลักษณ์ของท้องถิ่น เป็นชุมชนเข้มแข็ง มีทักษะของการเป็นผู้ประกอบการ

ด้าน คุณสุพัชเชษฐ์ เภาวะนิต รองประธานอาวุโสฝ่ายบริหารและพัฒนาธุรกิจผู้ประกอบการ บริษัท ลาซาด้า ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า ลาซาด้ารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับภาครัฐ ในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิตอล ตลอดจนการร่วมพัฒนาระบบนิเวศอีคอมเมิร์ซในประเทศไทยให้เติบโต ทั้งนี้ ในฐานะที่ลาซาด้านั้น เป็นธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่สำคัญของอาลีบาบาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งสามารถนำความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ด้านอีคอมเมิร์ซมาช่วยส่งเสริมการสร้างนวัตกรรมในประเทศไทยได้”

สำหรับโครงการสมาร์ท วิลเลจ ออนไลน์ ได้เริ่มดำเนินการแล้วกับชุมชนนาข่าเป็นแห่งแรกเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ทั้งนี้ ลาซาด้าได้ลงพื้นที่สำรวจ สื่อสารกับชุมชนเป้าหมาย จัดกิจกรรมเวิร์กช็อป มีการทำโปรโมชั่นผ่านแอพพลิเคชั่น จัดงานแสดงสินค้าชุมชนที่ผ่านการพัฒนาด้านดิจิตอลแล้วอย่าง “ผ้านาข่าชุมชนอัจฉริยะออนไลน์” และจากนี้จะเป็นการลงพื้นที่จัดกิจกรรมเวิร์กช็อปกับชุมชนที่เหลืออย่างต่อเนื่องในปีนี้”