องค์การเภสัชฯ ยันน้ำมันกัญชา 2,500 ขวดแรก ใช้กับผู้ป่วยโครงการวิจัย 2 ประเภท ของกรมการแพทย์

องค์การเภสัชฯ ยันน้ำมันกัญชา 2,500 ขวดแรก ใช้กับผู้ป่วยโครงการวิจัย 2 ประเภท ของกรมการแพทย์เท่านั้น

เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน นพ.โสภณ เฆมธน ประธานกรรมการองค์การเภสัชกรรม (ประธานบอร์ด อภ.) ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าสารสกัดน้ำมันกัญชามาตรฐานเกรดทางการแพทย์ หรือเมดิคัล เกรด ที่องค์การเภสัชกรรม (อภ.) จะสกัดได้ในเดือนกรกฎาคมนี้ จำนวน 2,500 ขวด ว่า ในระยะแรกนั้นผู้ป่วยจะสามารถเข้าถึงการรักษาโดยผ่านโครงการศึกษาวิจัย 2 ประเภท ที่ร่วมมือกับกรมการแพทย์ คือ ประเภทที่ 1 เป็นการวิจัยตามโครงการรักษาด้วยช่องทางพิเศษ หรือ Special Access Scheme หรือ SAS จะรักษาผู้ป่วยและเก็บข้อมูลการวิจัยควบคู่กันไป ในกลุ่มโรคที่สารสกัดกัญชาได้ประโยชน์ในการรักษาโดยมีข้อมูลทางวิชาการที่สนับสนุนชัดเจน ได้แก่ ผู้ป่วยภาวะคลื่นไส้ อาเจียน ในผู้ป่วยที่ได้รับยาเคมีบำบัด โรคลมชักที่รักษายากในเด็ก และโรคลมชักที่ดื้อยา ภาวะกล้ามเนื้อหดเกร็งในผู้ป่วยปลอกประสาทเสื่อมแข็ง ภาวะปวดประสาทที่ใช้วิธีการรักษาอื่นๆ แล้วไม่ได้ผล

“โครงการวิจัยประเภทที่ 2 เป็นการศึกษาวิจัยเชิงลึก ที่ต้องมีการศึกษาวิจัยทั้งทางห้องปฏิบัติการ การวิจัยทางพรีคลินิก และการวิจัยทางคลินิก กับผู้ป่วยกลุ่มโรคที่สารสกัดกัญชาน่าจะได้ประโยชน์ในการควบคุมอาการ แต่ต้องมีข้อมูลทางวิชาการเพิ่มในประเด็นความปลอดภัยและประสิทธิผล อาทิ โรคพาร์กินสัน โรคอัลไซเมอร์ โรควิตกกังวล ผู้ป่วยที่ต้องดูแลแบบประคับประคอง ผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายรวมทั้งกลุ่มโรคที่สารสกัดกัญชาอาจมีประโยชน์ เช่น การรักษาโรคมะเร็งชนิดต่างๆ” นพ.โสภณกล่าว และว่า ซึ่งผู้ป่วยสามารถสมัครเข้าสู่โครงการวิจัยทั้ง 2 ประเภทนี้ ได้ที่กรมการแพทย์ ซึ่งจะพิจารณาว่าผู้ป่วยจะมีค่าใช้จ่ายหรือไม่ ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการจัดทำรายละเอียดของโครงการ

ด้าน นพ.วิฑูรย์ ด่านวิบูลย์ ผู้อำนวยการ อภ. กล่าวว่า อภ.จะทำการเก็บเกี่ยวดอกกัญชาตัวเมียและสกัดเป็นสารสกัดกัญชาทางการแพทย์หรือเมดิคัลเกรดได้ แบบหยดใต้ลิ้นชุดแรก ขนาด 5 มิลลิลิตร จำนวน 2,500 ขวด ซึ่งจะผลิต 3 สูตร คือ สูตรที่ 1 คือสารทีเอชซี (THC) สูงกว่าสารซีบีดี (CBD) สูตรที่ 2 คือ สารซีบีดีสูงกว่าสารทีเอชซี และสูตรที่ 3 คือ สัดส่วนสารทีเอชซีและสารซีบีดี 1 ต่อ 1 โดยยึดหลักต้องปลอดภัยทุกขวดที่สกัดออกมาต้องมีสารมีฤทธิ์ของยาที่ใกล้เคียงกันหมด และต้องมีประสิทธิภาพ เพื่อนำไปใช้กับผู้ป่วยที่เข้าร่วมโครงการศึกษาวิจัยที่ร่วมมือกับกรมการแพทย์ 2 ประเภท ในข้างต้นต่อไป โดยในต้นปี 2563 อภ.เริ่มดำเนินการปลูกและผลิตสารสกัดกัญชาในระดับกึ่งอุตสาหกรรมได้ ซึ่งจะทำให้มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 8 เท่า หรือประมาณ 80,000 ขวดต่อปี ซึ่งจะทำให้สามารถสร้างการเข้าถึงผู้ป่วยที่เข้าร่วมโครงการวิจัยได้เพิ่มมากขึ้น