สนช. ชี้ แก้กม.”กัญชา”เพื่อการแพทย์-ลดนำเข้า หยุดเงินไหลแสนล้าน แนะ ดูความพร้อมสังคม

สนช. ชี้ แก้กม.”กัญชา”เพื่อการแพทย์-ลดนำเข้า หยุดเงินไหลแสนล้าน แนะ ดูความพร้อมสังคม

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 26 เมษายน ที่ ห้อง อา ยัก อบาโลน คอนเวนชั่น ฮอลล์ ห้องบอลรูม 1 ชั้น 9 อาคารไทยซีซีทาวเวอร์ สถาบันพัฒนาข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม ร่วมกับผู้เข้ารับอบรม หลักสูตร “ผู้บริหารกระบวนการยุติธรรมระดับสูง” รุ่นที่ 23 จัดสัมมนาสาธารณะเรื่อง “มองกัญชาให้รอบด้าน”

โดยมี นายชีพ จุลมนต์ ประธานศาลฎีกา เป็นประธานในพิธีกล่าวเปิดงาน ขณะที่ นายประสงค์ พูนธเนศ ประธานผู้เข้ารับการอบรมฯ เป็นผู้กล่าวรายงาน และมี ดร.จิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี ประธานกรรมการหอการค้าไทย-จีน กล่าวต้อนรับ

บนเวที มีพลตำรวจตรี พรชัย สุธีรคุณ รองนายแพทย์ใหญ่ (สบ7) โรงพยาบาลตำรวจ เป็นผู้ดำเนินรายการ และมีผู้ร่วมสัมมนาสาธารณะ ประกอบด้วย นายสมชาย แสวงการ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ รองศาสตราจารย์ วิเชียร กีรตินิจกาล ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาการเทคโนโลยีชีวภาพทางเกษตรแห่งชาติ สำนักงานอธิการบดี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ รวมทั้ง นายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงศ์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ศาสตราจารย์ นายแพทย์ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ศาสตราจารย์สาขาประสาทวิทยา ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นายประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ ประธานสภาเกษตรกรแห่งชาติ

การสัมมนาสาธารณะเรื่องของกัญชาให้รอบด้านครั้งนี้ เป็นการจัดสัมมนาอันเนื่องมาจากการแก้ไข พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ การแก้ในหลักการและออกข้อกำหนดใหม่เกี่ยวกับการนำกัญชามาใช้ในการวิจัยและการแพทย์ไทย โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องมีการปรับตัว และเตรียมความพร้อมเพื่อตอบรับกฎหมายใหม่ฉบับนี้

โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับ พ.ร.บ.ยาเสพติดฉบับใหม่ ให้ทุกคนทำความเข้าใจหลักการและเหตุผลในการปรับแก้กฎหมาย ผลกระทบ และเตรียมความพร้อมในทางปฏิบัติของทุกภาคส่วน เพื่อให้สอดรับกับกฎหมายที่แก้ไขใหม่ ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อผู้ร่วมเสวนาและผู้ที่เกี่ยวข้องทุกคน

นายสมชาย แสวงการ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ กล่าวว่า “กัญชาจัดอยู่ในหมวดหมู่ยาเสพติดประเภทที่ 5 ซึ่งในงานสัมมนาครั้งนี้ เราจะมาพูดกันถึงเรื่องประโยชน์ของการแก้ไขพ.ร.บ.ยาเสพติดและเสนอให้มีการนำกัญชามาใช้ในการแพทย์อย่างถูกต้องและปลอดภัยต่อผู้ป่วย หากเราไม่นำเรื่องนี้ขึ้นมาเป็นวาระที่ต้องพิจารณา ผู้ป่วยก็ต้องไปหาซื้อจากแหล่งซื้อ – ขายใต้ดิน ซึ่งเป็นการนำเข้ากัญชาที่ผิดกฎหมาย อีกทั้งกัญชาที่ได้มาก็ไม่มีความปลอดภัยต่อผู้ใช้ด้วย หากเราทำให้กัญชาเป็นเรื่องถูกต้อง อยู่ภายใต้กฎหมายคุ้มครอง จะส่งผลดีต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย อีกทั้งเป็นการลดการนำเข้าจากต่างประเทศ ทำให้หยุดเงินไหลออกได้หลายแสนล้าน กัญชาในแง่ดีนั้นมีเยอะ แต่เราถูกปิดกั้นมาตลอด 40 ปี เนื่องด้วยอนุสัญญาเดี่ยวว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ ค.ศ.1961

แต่อย่างไรก็ดี การจะหยิบยกประเด็นเรื่องกัญชาขึ้นมาพิจารณาแก้ข้อกฎหมาย ก็ต้องดูวุฒิภาวะของสังคมไทยเราด้วยว่า มีความพร้อมหรือยัง อีกเรื่องที่ต้องดูคือเรื่องเด็กและเยาวชน หากแก้ให้กัญชาถูกกฎหมายแล้ว เด็กเยาวชนจะมีการเสพยามากขึ้นหรือไม่ รวมถึงผลทางการแพทย์ต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ เพราะถ้าแก้ไขเปิดเสรีได้ ต้องควบคุมได้ด้วย จึงเป็นเรื่องที่ต้องมีการพิจารณากันอย่างรอบคอบ”