คลังดีเดย์ใช้แอพ ‘ถุงเงิน’ จ่ายบัตรคนจน

คลังดีเดย์ใช้แอพ ‘ถุงเงิน’ จ่ายบัตรคนจน

นางสาวสุทธิรัตน์ รัตนโชติ อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า ในวันที่ 8 เม.ย. 2562 จะเป็นวันแรกที่กรมบัญชีกลางจะเปิดให้ประชาชนที่ใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือ บัตรคนจน สามารถใช้แอพพลิเคชั่น “ถุงเงินประชารัฐ” กับร้านค้ารายย่อยที่ลงทะเบียนไว้กับธนาคารกรุงไทย ที่ขณะนี้มีแล้วกว่า 20,000 ร้านค้า จากเป้าหมายที่นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง มอบให้ดำเนินการ 100,000 ร้านค้า ซึ่งเป็นการเพิ่มช่องทางการใช้จ่ายด้วยบัตรคนจนจากเดิมที่ต้องจ่ายกับร้านที่เข้าร่วมโครงการ และร้านที่ติดตั้งเครื่องรูดบัตรอัตโนมัติที่ใช้รับชำระค่าสินค้าและบริการ (อีดีซี) ซึ่งครบแล้ว 37,000 เครื่อง

ทั้งนี้ การใช้แอพพลิเคชั่นมีกลุ่มเป้าหมายสำหรับร้านค้ารายย่อย เช่น ในตลาดสด ร้านแผงลอย โดยผู้ถือบัตรคนจนสามารถโหลดแอพพลิเคชั่น และเชื่อมต่อข้อมูลจากบัตร เพื่อใช้สแกนบาร์โค้ดกับร้านค้าที่ได้ลงทะเบียนกับธนาคารกรุงไทยได้ทันที ในลักษณะเดียวกับการโอนเงินพร้อมเพย์ ซึ่งเชื่อว่าวิธีนี้จะทำให้ผู้ถือบัตรมีทางเลือกในการใช้บัตร และใช้บริการได้ครอบคลุมมากขึ้น มีร้านค้าเข้ามาร่วมโครงการได้มากขึ้น โดย กรมบัญชีกลางจะขอความร่วมมือคลังจังหวัดทุกแห่ง พาณิชย์จังหวัด และธนาคารกรุงไทย เข้าไปให้ข้อมูลกับร้านค้า ที่เข้าร่วมโครงการ

นางสาวสุทธิรัตน์ เปิดเผยภายหลังพิธีมอบรางวัลองค์กรที่มีความเป็นเลิศ ในการบริหารจัดการด้านการเงินการคลัง ครั้งที่ 5 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 ว่า กรมบัญชีกลางได้รับเกียรติจาก พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานมอบรางวัลให้กับหน่วยงานที่ได้รับรางวัลองค์กรที่มีความเป็นเลิศในการบริหารจัดการด้านการเงินการคลัง ซึ่งมีหน่วยงานที่ได้รับรางวัล จำนวน 27 หน่วยงาน 31 รางวัล

สำหรับหลักเกณฑ์การประเมินตามขั้นตอนการบริหารด้านการเงินการคลัง 5 มิติ ประกอบด้วย มิติด้านการจัดซื้อจัดจ้าง มิติด้านการเบิกจ่าย มิติด้านการบัญชีภาครัฐ มิติด้านการตรวจสอบภายในภาครัฐ และมิติด้านปลอดความรับผิดทางละเมิด โดยจะส่งเสริมการปฏิบัติงานด้านการเงินการคลัง ในภาพรวมของหน่วยงานให้มีประสิทธิภาพ ยกย่องเชิดชูหน่วยงานสำหรับความมุ่งมั่นและปฏิบัติหน้าที่ในการบริหารจัดการการเงินการคลังให้เป็นไปอย่างถูกต้อง มีความโปร่งใส ลดความเสี่ยงที่ทำให้เกิดความเสียหายต่อประเทศชาติ

นางสาวสุทธิรัตน์ กล่าวว่า การเบิกจ่ายงบประมาณในปีนี้คาดว่าจะสามารถทำได้เกินเป้าหมายที่วางไว้ โดยตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่กำหนดเกณฑ์การเบิกจ่ายใหม่ โดยวัดจากเม็ดเงินงบประมาณ และการจัดซื้อจัดจ้าง ในช่วงที่ผ่านมาตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ สามารถเบิกจ่ายได้สูงกว่าเป้าหมายทุกเดือนเฉลี่ย 10%