จตุพร ประกาศลาออก ช่วยเพื่อชาติ หาเสียง อารี ลั่น 50 ล้าน ก็ไม่ไปอยู่ด้วย!

จตุพร ประกาศลาออก ช่วยเพื่อชาติ หาเสียง อารี ลั่น 50 ล้าน ก็ไม่ไปอยู่ด้วย!

เมื่อเวลา 11.30 น.วันที่ 30 มี.ค. 2562 ที่ห้องแถลงข่าวชั้น 5 อิมพีเรียล เวิลด์ ลาดพร้าว นายจตุพร พรหมพันธุ์ ผู้ช่วยหาเสียงพรรคเพื่อชาติ แถลงข่าว ท่าที และสถานการณ์ทางการเมืองหลังการเลือกตั้ง ว่า ขอประกาศยุติบทบาทการเป็นผู้ช่วยหาเสียงของพรรคเพื่อชาติและกองเชียร์พรรคเพื่อชาติ ซึ่งตนได้แจ้งต่อหัวหน้าพรรคและรองหัวหน้าพรรคให้รู้แล้วตั้งแต่ 26 มี.ค.ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามภารกิจของตนที่ประกาศไว้คือการรวบรวมเสียงฝั่งประชาธิปไตยให้ไปเทรวมในวันเลือกตั้ง ดังนั้น เมื่อพรรคเพื่อชาติแถลงจุดยืนอยู่ฝั่งประชาธิปไตย จึงถือว่าภารกิจตนเสร็จสิ้น ดังนั้นต่อไปนี้ตนจึงเหลือสถานะเดียวคือประธาน นปช.

นายจตุพร กล่าวว่า การไปยื่นยุบพรรคเพื่อชาติของผู้กองปูเค็ม หรือร.อ.ทรงกลด ชื่นชูผล ในประเด็นครอบงำพรรคเพื่อชาตินั้น ถือเป็นหน้าที่ของกรรมการบริหารพรรคเพื่อชาติและฝ่ายกฎหมายที่ต้องไปชี้แจงต่อ กกต. อย่างไรก็ตาม ผู้กองปูเค็มตนก็ไม่ทราบสถานะที่ชัดเจนว่าพ้นตำแหน่งราชการแล้วหรือยัง ขณะที่เจ้าตัวประกาศว่าพ้นแล้ว แต่ทางการข่าวยังมีข้อสงสัยกันอยู่ ผู้กองปูเค็มคงไม่ทราบว่าตำแหน่งผู้ช่วยหาเสียงของตนนั้นได้รับรองจาก กกต.

ดังนั้นการขึ้นเวทีปราศรัยจึงกระทำได้ ในลักษณะที่ต้องได้รับค่าจ้าง ซึ่งถ้าตนได้รับค่าจ้างดังกล่าวก็จะนำไปบริจาคให้กับมูลนิธิคนปัญญาอ่อน ซึ่งถือเป็นความตั้งใจของตน ดังนั้นประเด็นดังกล่าวจึงไม่ได้น่าวิตกแต่อย่างใด

ประธาน นปช. กล่าวว่า สถานการณ์การเมืองปัจจุบันนี้ ตนต้องการเห็นการแสดงความรับผิดชอบของ กกต. เพราะการเลือกตั้ง 62 นี้ เกินไปกว่าที่จะใช้คำว่าเลือกตั้งสกปรก เหมือนปี 2500 แต่ถ้าจะใช้คำว่าเลือกตั้งโสมมหรือเลือกตั้งอื่นใดที่เลวร้ายมากกว่าไปสกปรก เพราะกกต. ปล่อยปละละเลยให้มีการกระทำความผิดเกิดขึ้นมากมายในการเลือกตั้ง และยังมีการนับคะแนนที่ถูกยุติลงอย่างไม่เป็นทางการในวันเลือกตั้งนั้น ทั้งที่เป็นการนับคะแนนที่หน่วยแค่บวกตัวเลขให้ตรงข้อเท็จจริงเท่านั้น

ดังนั้น เมื่อ กกต.ประกาศตัวเลขผู้มาใช้สิทธิ์ 33 ล้านเศษ แต่พอมาวันที่ 28 มี.ค. กกต.ประกาศอย่างไม่เป็นทางการครั้งที่ 2 จำนวนมากกว่า 38 ล้านเศษ แสดงให้เห็นว่าคะแนนเพิ่มมา เกือบ 4 ล้านเศษ สะท้อนให้เห็นว่าคะแนนเพิ่มมาวันละกว่า 1 ล้านคะแนน

นายจตุพร กล่าวอีกว่า อีกทั้งจำนวนบัตรดีกับจำนวนคะแนนรวมของแต่ละพรรคนั้นมีความแตกต่างกันมากกว่า 2 ล้านคะแนน หรือแม้แต่จำนวนบัตรที่ใช้กับจำนวนผู้ใช้สิทธิ์ก็ยังมีความต่างกันเกือบ 2 ล้านเช่นกัน ถึงแม้จะมีการนำคำว่าบัตรเขย่งมาใช้ ซึ่งเกิดมาตนก็เพิ่งเคยได้ยิน ทั้งที่ในทางปฏิบัติแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ที่จะเกิดการรับบัตรแล้วไม่ไปใช้สิทธิ์ แต่กกต.อธิบายเพื่อที่จะให้รอดพ้นสิ้นข้อสงสัย แต่ยิ่งสร้างความสงสัยมากขึ้น

ดังนั้น การเลือกตั้งเมื่อปี 2549 ซึ่งเป็นการเลือกตั้งโมฆะทั้ง 2 ครั้งทำให้อดีต กกต.ชุดนั้นถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ามีการหันหลังออกนอกคูหา แต่ไม่ได้ระบุว่าอดีต กกต.ไม่สุจริต ส่วนเมื่อปี 2557 ถูกระบุว่าจัดการเลือกตั้งในวันเดียวให้แล้วเสร็จทั้งประเทศ อดีตกกต.จึงเชื่อว่าไม่จำเป็น ทำให้เกิดปรากฎการณ์ปิดล้อมสถานที่รับสมัครเลือกตั้ง ไปรษณีย์ที่เก็บบัตรเลือกตั้ง จนทำให้ศาลรัฐธรรมนูญ ก็ไม่ได้วินิจฉัยเหมือนปี 2549 แต่ได้ชี้ให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ

แต่การเลือกตั้งปี 2562 นี้ เมื่อมีการสงสัยเรื่องคะแนนมาตั้งแต่ต้น และยังมีคะแนนที่งอกออกมาอีกทำให้เกิดปัญหาในกาการจัดตั้งรัฐบาล อีกทั้งมีความห่วงใยว่ารัฐธรรมนูญปี 2560 จะนำพาสู่วิกฤต คือพาการเมืองสู่ทางตัน เพราะทั้ง 2 ฝั่งทางการเมือง ไม่ว่าซีกใดได้เสียงข้างมากที่ไม่เด็ดขาดก็ไม่สามารถเดินต่อไปได้ทั้งคู่

นายจตุพร กล่าวต่อว่า กกต.มีวิธีการนับคะแนนหลากหลายรูปแบบที่จะไปทอนคะแนนของพรรคใหญ่ แล้วกระจายปาร์ตี้ลิสต์ให้กับพรรคเล็กๆ เพื่อให้เกิดปรากฎการณ์ว่ารัฐบาลของคณะสืบทอดอำนาจมีพรรคการเมืองเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก ดังนั้นการเมืองจะเดินต่อไปได้ในตอนนี้คือการจะต้องไปปล้นสมาชิกพรรคอื่นที่เรียกว่ากลุ่มงูเห่า ซึ่งตอนนี้ก็มีอยู่ 2 พรรคที่กำลังถูกกวาดต้อนโดยการต่อรองผลประโยชน์

“ผมได้คุยกับฝั่งสืบทอดอำนาจเขาระบุว่าเสียงที่ต้องสนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์ในสภาต้องได้ 270 ที่นั่ง ซึ่งถ้านับตอนน้ีไม่มีทางถึง ถึงแม้ว่าจะมีการแจกใบแดง เหลือง สัม ดำ ขาว ซึ่งเป็น 5 ใบที่มีอยู่ในการเลือกตั้งของไทย แต่ผลการเลือกตั้ง ก็จะไม่เปลี่ยนแปลง เพราะถ้าแจกใบแดงให้เพื่อไทยก็ยังเหลืออนาคตใหม่ หรืออื่นๆ ในซีกประชาธิปไตย และถ้ามีเลือกตั้งซ่อมก็จะเกิดปรากฏการณ์รณรงค์หาเสียงเพื่อพรรคร่วมฝ่ายค้าน เพื่อพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งครั้งนี้อาจจะเป็นพรรคร่วมฝั่งประชาธิปไตย กับฝั่งสืบทอดอำนาจ ยิ่งจะทำให้เกิดความเสื่อมศรัทธามาที่สุดแล้วผมก็บอกไม่ได้ว่ามันจะนำไปสู่อะไร”นายจตุพร กล่าว

นายจตุพร กล่าวต่ออีกว่า ตอนนี้พรรคพลังประชารัฐ และพล.อ.ประยุทธ์ได้เปรียบทางการเมืองทุกกระบวนการ แล้วเมื่อประชาชนตัดสินมาด้วยเสียงก้ำกึ่งแบบนี้ แล้วหาจำเป็นต้องไปซื้อ ส.ส.จากพรรคอื่นแล้วได้เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งวันเริ่มต้นของการเป็นนายกฯ ครั้งใหม่นี้ จะเป็นวันจบวันสุดท้ายของพล.อ.ประยุทธ์เช่นเดียวกัน เพราะเมื่อมีเสียงก้ำกึ่งหมากกระดานเดินต่อไปไม่ได้ เพราะเสียงข้างมากจะต้องเสียไป 3 ที่นั่งคือประธานสภา และรองประธานสภา แล้วต้องเอาบุคคลภายนอก หรือการประชุมในสภาถ้าจะต้องนับจำนวนสมาชิกก็อาจทำให้ประชุมล่ม ประเทศเดินหน้าต่อไปไม่ได้

ดังนั้น สมการทางการเมืองเมื่อตัวเลขก้ำกึ่งก็เป็นไม่ได้อยู่แล้ว แต่ถ้าเลือกการสร้างงูเห่าให้เกิดขึ้นก็จะนำไปสู่จุดจบ เพราะเป็นการสร้างวิกฤตศรัทธาอย่างรุนแรง ดังนั้นคนแรกที่จะต้องรับผิดชอบในขณะนี้คือ กกต. เพราะวิญญูชนอย่างพวกท่านย่อมรู้ว่าอะไรเกิดขึ้นมาแล้ว โดยที่ตนจะไม่เรียกร้องให้ลาออก ผู้ที่ต้องรับผิดชอบต่อมาคือคณะกรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.)เพราะเขียนรัฐธรรมนูญให้ประเทศไทยเดินสู่ทางตัน

นายจตุพร กล่าวอีกว่า สำหรับประเด็นเรื่องงูเห่าที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในช่วงนี้ ตนเองก็ยังไม่รู้ว่าในส่วนของสมาชิกพรรคเพื่อชาตินั้น มีถูกดึงไปบ้างหรือไม่ เสียวอยู่เหมือนกัน

ด้านนายอารี ไกรนรา รองหัวหน้าพรรคเพื่อชาติ ฐานะว่าที่ ส.ส.พรรคเพื่อชาติ กล่าวปฏิเสธถึงการถูกทาบทามและซื้อตัวเพื่อให้ไปร่วมงานกับพรรคพลังประชารัฐ โดยยืนยันว่าไม่มีบุคคลใดของขั้วการเมืองอีกฝ่ายติดต่อเข้าหา และหากติดต่อมาจริงตนยืนยันว่าจะไม่ไปร่วมงาน เพราะตนมีอุดมกาณ์ชัดเจนต่อการร่วมต่อสู้กับภาคประชาชน “ผมไม่ไปเป็นงูเห่า หรืออะไรทั้งนั้น ต่อให้เสนอเงิน 50 ล้านบาท ก็ไม่สนใจและยืนยันจะไม่ไปไหนทั้งนั้น” นายอารี กล่าว