“ธนาธร” เซ็นเอ็มโอยู ทิ้งทรัพย์สิน 5,000 ล้าน ให้บุคคลที่สามจัดการ แยกขาดธุรกิจ-การเมือง

‘ธนาธร’ โชว์มาตรฐานใหม่นักธุรกิจ เล่นการเมือง เซ็นเอ็มโอยู โอนทรัพย์สินส่วนตัวที่มีกว่า 5,000 ล้านบาท ให้บุคคลที่สามจัดการ มีผล พ.ค.นี้ เหลือไว้ใช้แค่บ้านกับรถ เผย “สมพร” เตรียมขายหุ้นสื่อเร็วๆ นี้ ให้คำมั่นไม่เอี่ยวพร้อมให้ตรวจสอบหากไทยซัมมิทเป็นคู่ค้ากับรัฐในอนาคต

เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 18 มีนาคม ที่พรรคอนาคตใหม่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ แถลงถึงแนวทางการจัดการทรัพย์สินในการเข้าสู่ตำแหน่งทางการเมืองว่า นักธุรกิจเข้ามาทำงานการเมืองไม่ใช่เรื่องใหม่ทั้งของไทยและในต่างประเทศ ซึ่งคนที่เข้ามาดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่มีพื้นฐานทางธุรกิจย่อมมีประโยชน์ในการพัฒนาประเทศ โดยในต่างประเทศได้สร้างมาตรฐานเพื่อให้นักธุรกิจที่เข้ามาทำการเมืองได้รับความไว้วางใจในรูปแบบ Blind Trust  คือการโอนทรัพย์สินให้บุคคลที่สาม ทำให้ตรวจสอบไม่ได้และมองไม่เห็น ทำให้ไม่สามารถเอื้อประโยชน์หรือมีอำนาจสั่งการ ซึ่งประธานาธิบดีสหรัฐหลายคนก็นำทรัพย์สินเข้าระบบนี้ ยกเว้นนายโดนัลด์ ทรัมป์ ทั้งนี้ รัฐธรรมนูญไทยฉบับนี้กำหนดให้รัฐมนตรีหรือตำแหน่งที่สูงกว่าโอนหุ้นให้คนอื่นดูแล

“การจัดการทรัพย์สินของตนที่หลายคนยังสงสัย ว่าการเข้ามาการเมืองเพื่อปกป้องทรัพย์สินของตน เข้ามาหาผลประโยชน์ หรือเมื่อครั้งมีอำนาจจะเอาอำนาจตัวเองไปลงทุนในสัญญาต่างๆ หรือไม่ และเพื่อที่จะลบข้อครหาต่างๆ ไม่ทำให้สังคมสงสัย ธนาธรที่เข้ามาทำงานการเมือง จึงอยากสร้างมาตรฐานใหม่นักธุรกิจมาทำงานการเมือง ซึ่งมีข้อดี 1.ไม่ว่อกแว่ก จะสามารถทุ่มเททำงานเพื่อประชาชนได้อย่างเต็มที่ 2.สิ่งที่ผลักดันเข้ามาทำการเมืองคืออุดมการณ์และความฝันไม่ใช่เพื่อทำให้รวยขึ้น โดยสิ่งแรกที่ต้องทำ คือ ทำภายใต้กรอบที่กฎหมายกำหนดด้วยการโอนหุ้นและทำให้ไม่สามารถสั่งได้ และผมจะทำให้ไกลกว่ากฎหมาย คือทำให้มองไม่เห็น สั่งการไม่ได้ ด้วยความสมัครใจ ซึ่งที่ผ่านมาไม่มีนักการเมืองคนไหนทำ เป็นครั้งแรกของนักการเมืองเพื่อแสดงความตั้งใจ และเราจะมีสัญญาขึ้นมา ตั้งบุคคลที่สามที่มีความน่าเชื่อถือมาดูแลทรัพย์สิน ในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม และทุกอย่างจะจบ และผมจะเจอทรัพย์สินของผม อีกทีเมื่อผมเลิกทำงานการเมือง” นายธนาธร กล่าว

นายธนาธร กล่าวอีกว่า ตนจะเก็บทรัพย์สินที่ใช้ในชีวิตประจำวันในนามส่วนตัวไว้บางส่วน เช่น บ้าน รถ ส่วนที่เป็นหุ้น การลงทุน จะยกให้บริษัทจัดการ ทั้งนี้ หนึ่งในข้อสัญญาที่ตนจะเขียนไว้คือไม่ซื้อหุ้นไทยทุกตัว เพื่อจำกัดข้อครหาว่านโยบายที่ออกไปจะไม่เอื้อผลประโยชน์ให้ และกำหนดว่า 3 ปีหลังจากออกจากตำแหน่งจะได้กรรมสิทธิ์กลับมาเป็นของตัวเอง โดยได้เลือกบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ภัทร จำกัด ซึ่งมีการพิสูจน์ว่าเป็นมืออาชีพ เป็นแนวหน้าในการบริหารการเงิน ความโปร่งใส จริยธรรมในองค์กร เชื่อว่ากองทุนภัทรจะไม่ยอมจำนน หากตนผิดสัญญา หากอนาคตอำนาจทำให้ตนบิดเบี้ยวไป กองทุนภัทรจะไม่บิดเบี้ยวตาม

นายธนาธร กล่าวว่า ในส่วนของนางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นมติชนจะทำการขายหุ้นในเร็วๆ นี้ เพื่อให้ไม่มีปัญหา ให้สังคมเกิดความสบายใจ และขอยืนยันว่าก่อนหน้านี้ตนไม่มีส่วนร่วมในการตัดสินใจกับนางสมพร มีเพียงการได้รับมอบหมายให้เป็นกรรมการบริษัท ตนไม่เคยแทรกแซงการทำงานของกองบรรณาธิการ แค่ช่วยผลักดันองค์กรให้เดินหน้าอย่างเต็มที่เท่านั้น ทั้งนี้ ตั้งแต่ตนตัดสินใจเข้าสู่การเมืองครอบครัวจึงรุ่งเรืองกิจไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับมติชน ไม่มีการแต่งตั้งกรรมการเข้าไปแทนตน สำหรับการทำธุรกิจของกลุ่มบริษัทไทยซัมมิทนั้นอยู่ในตลาดเสรี ซึ่งมีแต่ชาวต่างชาติเข้ามาลงทุน ยืนยันว่าอย่างน้อยที่สุดขณะที่ตนบริหารอยู่ ไทยซัมมิทไม่เคยเข้าไปเป็นคู่สัญญากับรัฐ​ แทบจะร้อยเปอร์เซ็นต์ มีลูกค้าต่างประเทศแทบทั้งสิ้น และไม่เกี่ยวข้องกับการบริหารงานการเมืองของตน ทั้งนี้ ตนเชื่อว่ากลุ่มไทยซัมมิทจะดำรงการทำธุรกิจในรูปแบบนี้จะยังคงต่อไป แม้ตนจะพูดแทนไม่ได้ เพราะตนลาออกแล้วแต่ในอนาคตหากไทยซัมมิทจะเป็นคู่สัญญากับรัฐในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง ขอให้ทุกคนร่วมตรวจสอบ และยืนยันว่าหากตนมีอำนาจในขณะนั้นจะไม่เข้ามามีส่วนร่วมในการตัดสินใจที่เกี่ยวข้อง ขอให้ทุกคนเข้าใจเรื่องนี้ด้วย และเพื่อแสดงถึงความมุ่งมั่นโปร่งใสของพรรคอนาคตใหม่ เราจะไม่เรียกร้องคนอื่นแต่จะเริ่มที่เราเอง

นายธนาธร กล่าวว่า ตอนนี้ตนยังตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินไม่แล้วเสร็จ คาดจะอยู่ในกรอบ 5,000 ล้านบาท โดยจะต้องทำให้เกิดความโปร่งใส ส่วนสิ่งใดที่ทำให้เกิดความสงสัยจะพยายามขายทิ้ง อย่างไรก็ตาม ภายหลังการแถลงข่าว นายธนาธรได้ลงนามเอกสาร MOU ซึ่งจัดทำและลงนามร่วมกับบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนส่วนบุคคล กับบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ภัทร จำกัด