เกษตรกรรายย่อยมีลุ้น! อย. เผยเงื่อนไขปลูก “กัญชา” ร่วมสภาเกษตรกรฯ

เกษตรกรรายย่อยมีลุ้น! อย. เผยเงื่อนไขปลูก “กัญชา” ร่วมสภาเกษตรกรฯ

หลังจากเริ่มมีการเปิดให้ผู้ครอบครองกัญชาเข้าแจ้งขึ้นทะเบียนการครอบครองได้ ที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) ทั่วประเทศ และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) โดยครอบคลุม 3 กลุ่ม คือ กลุ่มองค์กรวิจัย สถาบันการศึกษา หน่วยงานรัฐ แพทย์แผนปัจจุบันและแพทย์แผนไทย ฯลฯ กลุ่มผู้ป่วย และกลุ่มบุคคลอื่นๆ นอกเหนือจาก 3 กลุ่ม หากเข้าแจ้งภายใน 90 วัน จะได้รับการนิรโทษกรรม ไม่ต้องถูกดำเนินคดี ส่วนจะขออนุญาตปลูก ผลิต หรือใช้กัญชาทางการแพทย์ต้องเข้าสู่กระบวนการขออนุญาตตามกฎหมาย ปรากฏว่า เกี่ยวกับเรื่องนี้มีข้อเสนอว่า หากเกษตรกรรายย่อยต้องการปลูก สามารถร่วมกับสภาเกษตรกรแห่งชาติเพื่อขออนุญาตร่วมกันได้หรือไม่นั้น

ความคืบหน้าล่าสุด เมื่อวันที่ 1 มีนาคม นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กล่าวว่า สามารถดำเนินการได้ตามกรอบเงื่อนไขของกฎหมาย ซึ่งเป็นไปตาม พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2562 โดยหากเกษตรกรที่จะปลูกกัญชาเพื่อทางการแพทย์และต้องการร่วมกับสภาเกษตรกรแห่งชาติ ก็ต้องมาพิจารณาว่า ทางสภาเกษตรกรฯ มีความร่วมมือกับทางมหาวิทยาลัย หรือองค์กรวิจัย ซึ่งโครงการวิจัยและมหาวิทยาลัยนั้นๆ ต้องมีคณะที่เกี่ยวข้อง ทั้งคณะแพทยศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ เป็นต้น ซึ่งจะมีในเงื่อนไขของกฎหมาย ทั้งนี้ อย. ได้จัดทำคู่มือในการยื่นขอนิรโทษ ส่วนในเรื่องของหลักเกณฑ์การขออนุญาตก็มีการดำเนินการ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างรวบรวมข้อมูลประชาพิจารณ์เกี่ยวกับกฎหมายลูกอีก 3 ฉบับ

นพ.ธเรศ กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมา อย. ได้ระดมความคิดเห็นกฎหมายลูกอีก 3 ฉบับ นอกเหนือจากกฎหมายนิรโทษกรรมที่ประกาศใช้แล้ว คือ 1.ร่างกฎกระทรวง การขออนุญาตและการอนุญาตผลิต นำเข้า ส่งออก จำหน่าย หรือมีไว้ในครอบครอง ซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 เฉพาะกัญชา พ.ศ.. 2.ร่างประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง กำหนดตำรับยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 ที่มีกัญชาปรุงผสมอยู่ที่ให้เสพ เพื่อรักษาโรคหรือการศึกษาวิจัยได้ พ.ศ.. และ 3.ร่างประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่องกำหนดผู้ประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทย และหมอพื้นบ้านตามกฎหมายว่าด้วยวิชาชีพการแพทย์แผนไทยที่สามารถปรุงและสั่งจ่ายตำรับยาที่มีกัญชาปรุงผสมอยู่ได้ พ.ศ.. ซึ่งทั้งหมดจะรวบรวมและนำเข้าสู่คณะกรรมการยาเสพติดให้โทษพิจารณาในวันที่ 8 มีนาคม 2562 ที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา