Voice TV ไม่ยอม! หลังโดนปิด 15 วัน จ่อฟ้องเรียกค่าเสียหาย กว่าร้อยล้าน!

Voice TV ไม่ยอม! หลังโดนปิด 15 วัน จ่อฟ้องเรียกค่าเสียหาย กว่าร้อยล้าน!

Voice TV ฟ้องเรียกค่าเสียหาย – เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 12 ก.พ. ที่สถานีวอยซ์ทีวี 21 นายเมฆินทร์ เพ็ชรพลาย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วอยซ์ทีวี จำกัด แถลงจุดยืน หลังถูก กสทช. สั่งปิด 15 วัน ว่า รอคำเอกสารอย่างเป็นทางการ ว่าจะกล่าวโทษอย่างไร เบื้องต้นทราบคำสั่งแล้ว ซึ่งมีผลกระทบทำให้ไม่อาจนำเสนอเนื้อหาได้ 15 วัน

โดยทางสถานีครั้งนี้มีความชัดเจนว่า เมื่อได้รับคำสั่งจาก กสทช. อย่างเป็นทางการ จะดำเนินการฟ้องต่อศาลปกครองในทันที เพื่อขอคุ้มครองชั่วคราว รวมถึงการฟ้องละเมิดตามข้อกฎหมายอื่นด้วย เพื่อรักษาความเป็นธรรม ซึ่งเมื่อช่วงต้นเดือนก.พ. ที่ผ่านมา ทางสถานีได้ไปหารือกับ กสทช. ชี้แจงกับ กสทช. อยู่เป็นประจำ ซึ่งมีลักษณะ ตักเตือน แลกเปลี่ยนข้อมูลความเห็นกันไปมา ไม่ถึงขั้นตัดสินลงโทษ แต่เมื่อมีผลตัดสินลงโทษกะทันหัน จึงต้องตรวจสอบการตัดสินว่า ดำเนินการอย่างเป็นอิสระหรือไม่อย่างไร

นายเมฆินทร์ กล่าวว่า ล่าสุดเมื่อวันที่ 5 ก.พ. ที่ผ่านมา ก็ไปพบ ชี้แจงเนื้อหารายการต่างๆ ในบรรยากาศทั่วๆ ไป บางครั้งต้องรับไปปฏิบัติไปก่อน แม้จะไม่เห็นด้วย อย่างบางรายการ มีการพูดถึง คสช. อย่างชัดเจน ช่องอื่นก็ออกแต่ไม่เป็นไร

จึงมองว่านี่อาจเป็นการเข้าข่ายการเลือกปฏิบัติ สถานีไม่มีรายการเฉพาะที่ต้องเปลี่ยน การถูกระงับแล้วแต่เหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป บรรยากาศมันไม่สม่ำเสมอ แต่ช่องเรามีสปิริตประสานงานตลอด เพื่อจะให้ราบรื่น ที่ผ่านมาฝ่ายบริหาร เคาะมาให้ฟ้องเรียกค่าเสียหายมาหลายทีแล้ว แต่ตนชะลอไว้

ครั้งนี้จะฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายเท่าไร ต้องรอฝ่ายบริหารพิจารณา ต้นคือเรามีรายได้  150 ล้านต่อปี หาร 15 วัน แล้วก็จะมีบวกลบความเสียหายอื่นๆ ด้วย ซึ่งต้องคิดย้อนกลับไปทั้งหมด

“ต้องทำความเข้าใจว่า ไม่ใช่เราไม่ได้ปฏิบัติตาม หรือเราทำผิดซ้ำซาก แต่เป็นการดำเนินการที่ไม่เห็นด้วยกับระเบียบปฏิบัติ สถานการณ์ตอนนี้จะเข้าสู่การเลือกตั้ง มีดีเบตจากฝ่ายการเมือง สื่อก็มีหน้าที่ในการตรวจสอบหรือวิจารณ์ ส่วนระหว่างการถูกปิด 15 วัน สถานีจะดำเนินการผลิตเนื้อหาต่อเนื่อง เพื่อนำออกช่องทางออนไลน์เต็มที่ ทำให้ผู้ชมติดตามรายการเราได้ จากนี้จะเสนอไปตามจุดยืนเดิมของเรา เสนอข้อมูลรอบด้านให้กับสังคม อย่างหนักแน่นที่จะทำให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริง ไม่ว่าจะทีวี หรือออนไลน์เน้นทำคอนเทนต์ ที่มีคุณค่ากับสังคม กลับมาแล้ว อาจปรับตามแนวทางของเรา ไม่ปรับตามที่ต้องการ” นายเมฆินทร์ กล่าว

เมื่อถามว่า ประเมินการจัดรายการใดทำให้เข้าข่ายกระทำความผิดหรือไม่ นายเมฆินทร์ กล่าวว่า ข้อจำกัดตามพ.ร.บ.กสทช. เราดำเนินการทุกอย่างไม่เคยมีประเด็นจนถึงปี 2557 ก็ทำมาตลอด แต่พอมีรัฐประหาร 22 พ.ค. 57 บริบทและบรรยากาศเปลี่ยนไปเยอะ มีการจำกัดข้อมูลข่าวสาร จากคำสั่งคสช. มีการปิดสื่อ เราก็เซ็นเอ็มโอยู เพื่อกลับมาเปิดได้ปกติ ต้องยอมปฏิบัติ ทั้งที่ไม่เห็นด้วย บรรยากาศของสังคมกำลังเข้าสู่การเลือกตั้งภายใน 5 อาทิตย์ การบังคับใช้จำกัดข้อมูลข่าวสารต่อการเลือกตั้งของประชาชน ไม่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน

“กรณีนี้ ผมเห็นว่ามีการกำกับนอกเหนือจากพ.ร.บ.กสทช. คือ คำสั่งคสช. หลังรัฐประหาร ที่การวินิจฉัยไม่ชัดเจน คาดว่า นี่คือต้นตอ แม้ปัจจุบันคำสั่งคสช. ที่ 103 จะลดระดับจากคำสั่งที่ 97 เดิมลงมาแล้ว แต่ก็ยังมีเนื้อหา เช่น การให้เจ้าหน้าที่กสทช. ไม่ต้องรับผิดทางแพ่งและอาญา ก็จะทำให้การดำเนินการขึ้นกับดุลพินิจเจ้าหน้าที่เป็นหลัก เมื่อรัฐประหารคือหลักการแบบหนึ่ง แนวทางของช่องคือประชาธิปไตยเสรี จึงทำให้การรายงานของสถานีไม่สอดคล้องต่อกันมากนัก” นายเมฆินทร์ กล่าว

นายเมฆินทร์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาผมกำชับเสมอว่า การรายงานต้องเป็นข้อเท็จจริง วิเคราะห์ไปตามหลักเสรีประชาธิปไตย และต้องไม่หมิ่นประมาทใคร แต่ทว่ารวมถูกปิดทั้งช่องมาแล้ว 3 ครั้ง ครั้งแรกเมื่อมีการรัฐประหารปิดทันที 1 เดือน ครั้งที่สอง 7 วัน ครั้งล่าสุด 15 วัน โดยครั้งนี้ถือว่าได้รับผลกระทบมากที่สุด ขอย้ำว่าในช่วงใกล้วันเลือกตั้ง วอยซ์อยากให้สื่อสารข้อมูลกับประชาชนมากที่สุด ทางวอยซ์เองผลิตสื่อ ด้วยวิจารณญาณ และจุดยืนเพื่อเป็นทางเลือกของคนในสังคมมากที่สุด

ที่มา : ข่าวสดออนไลน์