ที่มา | ข่าวสดออนไลน์ |
---|---|
เผยแพร่ |
คร. เตือนผู้ป่วยภูมิแพ้ เสี่ยงสุดรับฝุ่น PM2.5 กระตุ้นก่อโรคมากกว่าคนทั่วไป ข้อมูลอุบัติเหตุช่วงปัญหาฝุ่นพบมากขึ้นกว่าเดิม 20% ในพื้นที่ กทม. ย้ำช่วงนี้พบ “หวัดใหญ่-ไข้เลือดออก” สูง เป็นช่วงทับซ้อน ฝุ่นไม่ใช่เหตุหลัก สำนักระบาดตั้งระบบเฝ้าระวัง ศึกษาโรครับผลกระทบจากฝุ่นพื้นที่กทม.
เตือนผู้ป่วยภูมิแพ้ – วันที่ 4 ก.พ. ที่กรมควบคุมโรค (คร.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค พร้อมด้วยผู้บริหารจากกรมควบคุมโรค เสวนาวิชาการดีดีซี ฟอรั่ม (DDC Forum) “การเฝ้าระวังสถานการณ์โรคและภัยสุขภาพที่มาตามช่วงฤดูกาล”
โดย นพ.สุวรรณชัย กล่าวว่า ขณะนี้หลายคนวิตกเกี่ยวกับผลกระทบด้านสุขภาพที่เกิดจากฝุ่นละอองขนาดเล็กพีเอ็ม 2.5 ซึ่งอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับโรคที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ว่า มาจากฝุ่นทั้งหมด แต่ฝุ่นเป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิดความเสี่ยงในกลุ่มผู้ป่วยที่มีโรคอยู่แล้ว โดยเฉพาะโรคทางเดินหายใจ อย่างหอบหืด ปอดอุดกั้นเรื้อรัง และโรคหลอดเลือดหัวใจ
แต่ยังมีอีก 2 โรคที่มีความทับซ้อนกับปัญหาฝุ่นละออง เนื่องจากช่วงนี้เป็นฤดูกาลที่พบโรคอยู่แล้วด้วย คือ โรคไข้หวัดใหญ่ และโรคไข้เลือดออก อย่างโรคไข้หวัดใหญ่มีแนวโน้มพบผู้ป่วยเพิ่มขึ้น ซึ่งหากป่วยด้วยแล้ว และได้รับฝุ่นละอองด้วยก็จะทำให้มีปัญหาเรื่องการหายใจได้ แต่หลายคนก็มีอาการแสบตา แสบคอจากฝุ่น แต่ไม่ได้รับเชื้อไข้หวัดใหญ่ ไม่มีไข้ขึ้นสูง ก็จะไม่ป่วยจากไข้หวัดใหญ่ ดังนั้นเรื่องนี้ต้องแยกดีๆ เพราะจะเกิดความเข้าใจผิดได้
“สิ่งสำคัญคือ เราถูกฝุ่น แต่หากเราไม่ได้รับเชื้อไข้หวัดใหญ่ เราก็ไม่ป่วย ส่วนไข้เลือดออก การติดเชื้อจะเป็นยุงลายเป็นพาหะ คือ ไม่อยากให้กังวลแต่ฝุ่น ควรดูแลสุขภาพและป้องกันตัวเองให้ห่างไกลโรคอื่นๆ ด้วย โดยเฉพาะ 2 โรคนี้ เนื่องจากเป็นช่วงฤดูกาลที่เราจะพบได้มากขึ้น ไม่ใช่ว่ากลัวฝุ่นปิดบ้าน แต่ภายในบ้านไม่ดูแลความสะอาด ไม่ร่วมทำลายลูกน้ำยุงลายก็เสี่ยงเกิดโรคได้ ซึ่งโรคไข้เลือดออก ข้อมูลเดือนม.ค. 2562 พบผู้ป่วยแล้ว 2,834 ราย เสียชีวิต 2 ราย และอยู่ระหว่างตรวจสอบสาเหตุว่าเกิดจากเชื้อไข้เลือดออกหรือไม่อีก 3 ราย
ส่วนโรคไข้หวัดใหญ่เฉพาะเดือนม.ค. 2562 ป่วยแล้ว 16,058 ราย เสียชีวิต 1 ราย ผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเด็กวัยเรียนพบมากที่สุดกลุ่มอายุ 7-9 ปี รองลงมาอายุ 10-14 ปี จึงอยากให้ทุกคนตระหนักและดูแลสุขภาพ ยึดหลัก ปิด ล้าง เลี่ยงหยุด คือ ปิดปาก ปิดจมูกเมื่อไอจาม ล้างมือบ่อยๆ เลี่ยงการคลุกคลีใกล้ชิดผู้ป่วย และหยุด เมื่อป่วยควรหยุดเรียน หยุดงาน หยุดกิจกรรม หากมีไข้สูง หนาว ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อมากๆ ควรไปพบแพทย์” นพ.สุวรรณชัย กล่าว
นพ.เฉวตสรร นามวาท ผู้อำนวยการสำนักระบาดวิทยา กล่าวว่า ขณะนี้สำนักระบาดวิทยา มีการตั้งระบบเฝ้าระวัง เพื่อดูว่าสถานการณ์มีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร เบื้องต้นจะโฟกัสในเขตพื้นที่ กทม. และปริมณฑล โดยช่วงนี้ข้อมูลยังไม่นิ่ง ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขไม่ได้นิ่งนอนใจ กำลังหาหลักฐานข้อมูลทางวิชาการ เพื่อให้เกิดความชัดเจน แต่อย่างไรก็ตามโรคที่อาจจะได้รับผลกระทบจากฝุ่น คือหอบหืด ปอดอุดกั้นเรื้อรัง หรือโรคหลอดเลือดหัวใจ แต่เหตุการณ์การป่วยที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ ไม่ได้แปลว่าทุกคนได้รับฝุ่นพีเอ็ม 2.5 แต่โดยปกติความเสี่ยงของคนเมื่อถึงเวลาอาจมาจากโรคเองด้วย ซึ่งหากได้รับข้อมูลที่กำลังทำอยู่ ก็จะทำให้ทราบว่า กรณีจากฝุ่นมีส่วนทำให้อาการโรคเพิ่มมากขึ้นหรือไม่ อย่างไร โดยขณะนี้กำลังรวบรวมข้อมูลอยู่ เพื่อจะได้วางระบบการเฝ้าระวังและป้องกันมากขึ้น
พญ.ฉันทนา ผดุงทศ ผู้อำนวยการสำนักโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า หลายคนกังวลว่า คนที่อาศัยอยู่บนตึกสูงจะมีความเสี่ยงได้รับฝุ่นละอองขนาดเล็กได้มากกว่าคนที่อยู่ชั้นล่างหรือไม่ จริงๆ แล้ว หากเป็นคอนโดมิเนียม ที่อยู่ติดถนนก็มีความเสี่ยงได้รับฝุ่นละอองมากกว่าคอนโดมิเนียมที่อยู่ห่างจากถนนอยู่แล้ว ซึ่งจากการวัดค่าฝุ่นละอองที่ชั้น 28 ของคอนโดมิเนียมแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นห้องฟิตเนส พบว่า ค่าฝุ่นละอองอยู่ที่ 9 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร (มคก./ลบ.ม.) แล้วเมื่อขยับลงมาอีก 5 ชั้นพบว่าปริมาณฝุ่นอยู่ที่ 2-3 มคก./ลบ.ม. ถือว่าค่าฝุ่นละอองไม่ได้ต่างกันมาก และไม่ได้เกินมาตรฐาน ดังนั้นไม่อยากให้กังวลกัน โดยเฉพาะคนที่ไม่ได้อยู่ติดถนน แต่ก็ขอให้หมั่นทำความสะอาดบ้าน
ด้าน คุณนงนุช ตันติธรรม รองผู้อำนวยการสำนักโรคไม่ติดต่อ กล่าวว่า จากข้อมูลบริษัทกลางที่มีการสถิติการเกิดอุบัติเหตุพื้นที่กทม. 2 ช่วงคือระหว่างวันที่ 1-15 ม.ค. และหลัง 15-31 ม.ค. 2562 ซึ่งเป็นช่วงที่กรมควบคุมมลพิษ (คพ.) ประกาศค่าฝุ่นละอองเริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ โดยนำมาเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2561 พบว่า ทั้ง 2 ช่วงมีอุบัติเหตุเพิ่มขึ้น 20 เปอร์เซ็นต์ ยอดเจ็บ และเสียชีวิตก็เพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน ซึ่งยังไม่ได้มีการศึกษาโดยละเอียดว่ามีสาเหตุเกิดจากอะไรกันแน่
แต่มีข้อสังเกตว่าเกิดจากปัญหาฝุ่นละออง ที่ทำให้วิสัยทัศน์การมองเห็นไม่ดีหรือไม่ เพราะเพิ่งมีสถานการณ์แบบนี้เกิดขึ้น ดังนั้นจะต้องมีการวิเคราะห์เพิ่มเติม อย่างไรก็ตาม สิ่งที่อยากฝากคือ จะพบคนขับมอเตอร์ไซค์สวมหน้ากากอนามัยป้องกันฝุ่น แต่กลับไม่สวมหมวกกันน็อก ซึ่งเป็นเรื่องอันตรายมาก เพราะมีข้อมูลว่าหากเกิดอุบัติเหตุขึ้นคนที่ไม่สวมหมวกจะเกิดการบาดเจ็บที่ศีรษะรุนแรงกว่าคนที่สวมหมวกถึง 6 เท่า