คลังวอนคนแก่ฐานะดีสละเบี้ยยังชีพ นำมาช่วยเหลือผู้ยากจนที่เดือดร้อนกว่า

คลังผุดโครงการ “เกื้อกูลผู้สูงวัย สังคมไทยน่าอยู่” วอนคนแก่ฐานะดีสละเบี้ยยังชีพ พร้อมรับใบประกาศเกียรติคุณพ่วงลายเซ็นนายกฯ เหรียญพระคลังมหาสมบัติ และสิทธิลดหย่อนภาษี ลุ้นยอดแตะ 2 ล้านราย ดันเบี้ยยังชีพเพิ่มเป็น 1 พันบาทต่อเดือน

คลังวอนคนแก่ฐานะดีสละเบี้ยยังชีพ – นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง กล่าวว่า กระทรวงการคลังร่วมมือกับสมาคมธนาคารไทย และสภาสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ เปิดตัวโครงการ “เกื้อกูลผู้สูงวัย สังคมไทยน่าอยู่” เพื่อเชิญชวนให้ประชาชนคนไทยที่มีความพร้อมหันมาช่วยเหลือผู้ที่เดือดร้อนกว่า โดยเฉพาะการดูแลกลุ่มผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ซึ่งจะสามารถรองรับการเป็นสังคมผู้สูงวัยของประเทศ และจะนำไปสู่การลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมในระยะยาวด้วย

โดยคลังขอเชิญชวนให้ผู้สูงอายุที่รับเบี้ยยังชีพอยู่ในปัจจุบันและมีฐานะทางการเงินมั่นคง มาบริจาคเบี้ยยังชีพที่ได้รับ เพื่อนำไปจ่ายเป็นเงินช่วยเหลือการยังชีพให้แก่ผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อยกว่า จำนวน 4.6 ล้านคน ในจำนวนนี้ 90% หรือ 3.9 ล้านคนอยู่ในภาวะยากจนและมีความเป็นอยู่อย่างขัดสน จำนวน 2 ล้านคนไม่มีที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเอง จำนวน 1.4 ล้านคนเป็นผู้มีหนี้สิน และจำนวน 3.4 แสนคนเป็นผู้พิการ

“คลังได้รับความร่วมมือจากสมาคมธนาคารไทย และสภาสถาบันการเงินของรัฐ ให้เป็นช่องทางในการรับแจ้งบริจาค เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ประสงค์จะบริจาค รวมทั้งช่วยประชาสัมพันธ์ให้การบริจาคเบี้ยยังชีพเป็นที่รู้จักในวงกว้างและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น โดยผู้บริจาคสามารถนำบัตรประชาชนมาเป็นหลักฐานในการสละสิทธิ์ และธนาคารจะส่งข้อมูลมาที่กรมบัญชีกลาง ก่อนจะส่งเงินเข้ากองทุนผู้สูงอายุเพื่อที่จะนำเงินส่วนนี้ไปจ่ายให้กับผู้สูงอายุที่มีฐานะยากจน ขณะเดียวกันกรมบัญชีกลางจะส่งใบเสร็จการสละสิทธิ์รับเบี้ยยังชีพให้กับผู้บริจาคเพื่อให้แน่ใจว่าเงินดังกล่าวมีการนำไปใช้ประโยชน์อย่างแท้จริง”

ทั้งนี้ ที่ผ่านมากระทรวงการคลังได้ดำเนินการเรื่องนี้มาเป็นเวลานาน แต่มีคนมาสละสิทธิ์แค่ 800 คนเท่านั้น เพราะมีปัญหาเรื่องการประชาสัมพันธ์ และช่องทางในการสละสิทธิ์ที่ยังมีจำกัด เนื่องจากต้องไปที่เขตหรืออำเภอเท่านั้น ดังนั้น การเพิ่มช่องทางนี้ก็เชื่อว่าจะสามารถแก้ปัญหาได้ โดยธนาคารพาณิชย์และธนาคารรัฐจะช่วยทำการประชาสัมพันธ์ผ่านทุกสาขาทั่วประเทศ รวมถึงช่องทางออนไลน์ทั้งหมดด้วย

นายอภิศักดิ์ กล่าวอีกว่า กระทรวงการคลังตั้งเป้าหมายว่าจะมีผู้มาสละสิทธิ์ตามโครงการดังกล่าว ประมาณ 1-2 ล้านราย และจะทำให้สามารถจ่ายเบี้ยยังชีพเพิ่มให้กับผู้สูงอายุที่มีฐานะยากจนได้เพิ่มขึ้นเป็น 1 พันบาท จากเดิม 600 บาทต่อเดือน ซึ่งจะทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนกลุ่มนี้ดีขึ้น

สำหรับการลงทะเบียนสละสิทธิ์ในช่วงวันที่ 1 ก.พ.-31 มี.ค. 2562 ทางกระทรวงการคลังจะมอบเหรียญพระคลังมหาสมบัติให้เป็นที่ระลึก พร้อมใบประกาศเกียรติคุณซึ่งมีลายเซ็นจากนายกรัฐมนตรี และสิทธิลดหย่อนภาษีด้วย โดยหลังจากช่วงเวลาดังกล่าวผู้ประสงค์สละสิทธิ์รับเบี้ยยังชีพยังสามารถลงทะเบียนเพื่อสละสิทธิ์ได้ต่อไป รวมถึงผู้ที่สละสิทธิ์แล้วและต้องการสิทธิ์คืนก็สามารถแจ้งความประสงค์ได้ที่ธนาคารเช่นกัน

ปัจจุบันกองทุนผู้สูงอายุได้รับเงินจากภาษีบาป 2% คิดเป็นวงเงิน 4 พันล้านบาท ซึ่งนำเงินส่วนนี้ไปจ่ายเพิ่มให้กับผู้สูงอายุที่ลงทะเบียนในโครงการสวัสดิการแห่งรัฐ (บัตรคนจน) ได้คนละ 50-100 บาท แต่ยังไม่เพียงพอ คาดว่าถ้ามีผู้สูงอายุสละสิทธิ์ถึง 1-2 ล้านคน จะทำให้มีเงินจ่ายให้ผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อยได้ถึง 1 พันบาท เป็นไปตามที่รัฐบาลคาดหวังไว้

ด้านนายปรีดี ดาวฉาย ประธานสมาคมธนาคารไทย เปิดเผยว่า ธนาคารพาณิชย์ทุกแห่งพร้อมให้ความร่วมมือในโครงการนี้ โดยปัจจุบันธนาคารพาณิชย์มีสาขาทั้งหมด 6.7 พันแห่ง ก็จะมีการติดโปสเตอร์ประชาสัมพันธ์ และประชาสัมพันธ์ผ่านตู้เอทีเอ็มอีก 7 หมื่นตู้ รวมถึงจะใช้ช่องทางออนไลน์ทั้งหมด อาทิ เฟซบุ๊ก เว็บไซต์ เพื่อสร้างการรับรู้ให้เกิดการเข้าใจมากขึ้น

นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ธนาคารของรัฐทั้ง 9 แห่ง จะช่วยประชาสัมพันธ์เรื่องการสละเบี้ยยังชีพให้แก่ลูกค้าทั้งหมด 46.5 ล้านบัญชี